สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) หรือ GISTDA เปิดข้อมูลภาพจากแผนที่แสดงสถานการณ์น้ำท่วมเปรียบเทียบช่วงเดือน ส.ค.54 และเดือน ส.ค.ปีนี้ พบว่า ต่างกันราว 3 เท่าตัว
ในช่วงเดือน ส.ค.54 ซึ่งขณะนั้นประเทศไทยประสบปัญหาน้ำท่วมขัง 5.59 ล้านไร่ และเมื่อเปรียบเทียบกับสถานการณ์น้ำท่วมในเดือน ส.ค.ปีนี้พบว่าประเทศไทยประสบปัญหาน้ำท่วมขังแล้ว 1.85 ล้านไร่
ทั้งนี้ หากมองย้อนกลับไปปี 54 ซึ่งเป็นปีที่เกิดเหตุการณ์มหาอุทกภัยอย่างรุนแรง สาเหตุหลักมาจาก
1.เกิดพายุหลายลูกเคลื่อนตัวผ่านและส่งผลให้ประเทศไทยได้รับอิทธิพลโดยตรง ซึ่งยังไม่นับรวมร่องมรสุมอื่นๆ ที่พาดผ่านประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง รวมถึงลมประจำถิ่นที่ส่งผลให้เกิดฝนตกอย่างหนักในหลายพื้นที่
2.ฝนที่มาเร็วกว่าปกติ ทำให้ปริมาณฝนตกสะสมทั้งประเทศสูงกว่าค่าเฉลี่ยมากถึง 35%
3.ช่วงครึ่งปีแรกเกิดปรากฏการณ์ลานีญาที่ค่อนข้างรุนแรง ทำให้มีปริมาณฝนมากกว่าปกติทุกเดือน
4.เกิดน้ำทะเลหนุนบ่อยครั้ง ส่งผลให้การระบายน้ำค่อนข้างยาก และเป็นไปอย่างล่าช้า
5.เขื่อนใหญ่ๆ อย่างเขื่อนภูมิพลและเขื่อนสิริกิติ์ มีปริมาณน้ำไหลลงอ่างอย่างต่อเนื่องในปริมาณสูงมากที่สุดเป็นประวัติการณ์ ทำผลให้ไม่สามารถระบายน้ำออกได้ทัน เนื่องจากบริเวณพื้นที่ท้ายเขื่อนก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน
6.มีสิ่งกีดขวางทางน้ำมากมายทั้งจากธรรมชาติและสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้น
ขณะที่สถานการณ์น้ำในขณะนี้
1.เดือน ส.ค. ประเทศไทยประสบปัญหาน้ำท่วมขังแล้วกว่า 1.85 ล้านไร่ ถือว่ายังน้อยกว่าอยู่ 3 เท่าเมื่อเทียบกับปี 2554
2.เกิดปรากฏการณ์ลานีญาเช่นกัน ทำให้ฝนมาเร็ว ส่งผลให้หลายพื้นที่ของประเทศมีปริมาณน้ำฝนสะสมสูงขึ้น แต่ไม่รุนแรงเท่าปี 2554
3.ในช่วง 1-2 เดือนนี้ อาจเกิดพายุขึ้น 2-3 ลูก ซึ่งบางลูกประเทศไทยอาจไม่ได้รับอิทธิพลโดยตรง
4.สิ่งกีดขวางทางน้ำ เช่น ผักตบชวา ต้นไม้ กิ่งไม้ ขยะฯ ได้รับการจัดเก็บอย่างต่อเนื่อง เพื่อไม่ให้เป็นสิ่งกีดขวางทางน้ำ
5.หลายหน่วยงานด้านน้ำเร่งระบายน้ำลงสู่อ่าวไทย ในช่วงที่ไม่เกิดน้ำทะเลหนุนสูง
6.หน่วยงานที่เกี่ยวข้องมีการประเมินสถานการณ์อย่างใกล้ชิดทุกช่วงเวลา
แต่หากเปรียบเทียบข้อมูลกลับไปในช่วงปี 63 และปี 64 ของเดือน ส.ค.จะพบว่าในขณะนั้นประเทศไทยมีปริมาณน้ำท่วมขังน้อยกว่าปี 65 สาเหตุหลักมาจากภัยแล้ง อีกทั้งปีนี้มีฝนมาเร็วซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของปรากฏการณ์ลานีญาที่เกิดขึ้นด้วย
อย่างไรก็ตาม เป็นที่น่าสังเกตว่าปีนี้ประเทศไทยยังไม่เจอกับพายุแบบทางตรง ที่ผ่านมาจะเป็นแค่ทางอ้อมเท่านั้นที่ทำให้ได้รับผลกระทบทั้งในพื้นที่ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคกลางของประเทศ ซึ่งขณะนี้หลายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเฝ้าติดตามสถานการณ์น้ำอย่างต่อเนื่องไม่ว่าจะเป็น สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) กรมชลประทาน กรมอุตุนิยมวิทยา สถาบันสารสรเทศทรัพยากรน้ำ (สสน.) กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) รวมถึง GISTDA เป็นต้น เพื่อร่วมกันวางแผนและประเมินสถานการณ์ต่อไป