น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ในวันที่ 23 ก.ย.65 ที่ประชุมศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศบค.ชุดใหญ่) จะมีการประชุมเพื่อประเมินสถานการณ์โควิด-19 ในภาพรวมและพิจารณามาตรการที่เหมาะสมต่อไป โดยในระยะต่อไปจะยังมีมาตรการส่งเสริมการท่องเที่ยว ซึ่งคาดว่าจะมีชาวต่างชาติเดินทางเข้ามายังประเทศไทยเพิ่มขึ้นอีก โดยเฉพาะช่วงไฮซีซัน ตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค.65-31 มี.ค.66 หลังสถานการณ์ในประเทศไทยขณะนี้ยอดผู้ป่วยใหม่และผู้เสียชีวิตที่ลดลงและทรงตัวในระดับต่ำ โดยเฉพาะในรอบกว่า 1 สัปดาห์ที่ผ่านมา (12-20 ก.ย.65) ยอดผู้ป่วยใหม่ส่วนใหญ่อยู่ในระดับต่ำกว่า 1,000 รายต่อวัน มีเพียงวันที่ 14-15 ก.ย.65 ที่เกินกว่าระดับดังกล่าว (1,321 ราย และ 1,125 รายตามลำดับ) ขณะที่ผู้เสียชีวิตอยู่ที่ 10-15 คนต่อวัน สำหรับผู้ป่วยใหม่ในวันนี้อยู่ที่ 774 ราย
ที่ผ่านมา ศบค.ได้มีมาตรการขยายระยะเวลาการพำนักชาวต่างชาติที่เดินทางเข้ามาในประเทศไทย โดยให้ผู้ที่ได้รับยกเว้นการตรวจลงตราในการเข้าประเทศไทย (Free Visa)จากเดิมที่เคยพำนักในประเทศไทยได้ไม่เกิน 30 วัน จะขยายเป็นไม่เกิน 45 วัน ส่วนผู้ที่ได้รับ Visa on Arrival จากเดิมที่พำนักในประเทศไทยได้ไม่เกิน 15 วัน จะขยายเป็นไม่เกิน 30 วัน
น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า การที่จำนวนผู้ป่วยและผู้เสียชีวิตที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง แม้รัฐบาลโดยศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศบค.) จะผ่อนคลายมาตรการทั้งภายในและระหว่างประเทศ โดยเปิดประเทศเต็มรูปแบบมาตั้งแต่เดือน ก.ค.เป็นต้นมา แสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพและประสิทธิผลของวัคซีนที่เป็นเกราะป้องกันโรคได้เป็นอย่างดี
ทั้งนี้ จากกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่จะเพิ่มขึ้นตามการผ่อนคลายมาตรการต่างๆ รัฐบาลจึงขอเชิญชวนประชาชนเข้ารับวัคซีนทั้งให้ครบตามเกณฑ์และวัคซีนเข็มกระตุ้น โดยเฉพาะกลุ่มผู้มีความเสี่ยงเช่นกลุ่ม 608 ได้แก่ ผู้สูงอายุที่มีอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป, ผู้ป่วยที่มีโรคประจำตัว 7 โรค และหญิงตั้งครรภ์ เพื่อเพิ่มภูมิคุ้มกัน ลดโอกาสการรับเชื้อ ป่วยหนัก หรือเสียชีวิต
สำหรับผลการฉีดวัคซีนโควิด-19 ณ วันที่ 18 ก.ย.65 พบว่า มีการให้วัคซีนรวมแล้ว 143.14 ล้านโดส โดยประชาชนรับวัคซีนเข็มที่ 1 แล้ว 57.30 ล้านคน หรือ 82.4 %ของประชากรทั้งประเทศ รับวัคซีนเข็มที่ 2 แล้ว 53.80 ล้านคน คิดเป็น 77.3% และรับเข็มที่ 3 ขึ้นไปแล้ว 32.04 ล้านคน คิดเป็น 46.1%
ขณะที่ผู้มีอายุ 60 ปี ขึ้นไปทั่วประเทศ 12.70 ล้านคน ได้รับวัคซีนครบตามเกณฑ์ 2 เข็มแล้ว 10.25 ล้านคน หรือคิดเป็น 80.7% และรับวัคซีนเข็มกระตุ้นแล้ว 6.49 ล้านคน คิดเป็น 51.1%