กรมประมง จับมือ INFOFISH ให้ประเทศไทยร่วมเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมและจัดแสดงสินค้า "ทูน่าโลก ครั้งที่ 17" (The Seventeenth INFOFISH World Tuna Trade Conference and Exhibition) หรือ "TUNA 2022" ระหว่างวันที่ 11-13 ต.ค. 65 ภายใต้หัวข้อ "การเสริมสร้างความยืดหยุ่น การปรับตัว และการเติบโตอย่างยั่งยืนในอุตสาหกรรมปลาทูน่าโลก" เพื่อให้ผู้เกี่ยวข้องจากภาคอุตสาหกรรมปลาทูน่าทั่วโลก ได้แลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร และแบ่งปันองค์ความรู้ต่างๆ ตลอดจนเป็นการเปิดโอกาสการเจรจาทางธุรกิจ เพื่อเสริมสร้างความยั่งยืนของอุตสาหกรรมปลาทูน่า ส่งเสริมการทำประมงอย่างมีความรับผิดชอบและต่อต้านการทำประมงผิดกฎหมายในระดับภูมิภาค
นายเฉลิมชัย สุวรรณรักษ์ อธิบดีกรมประมง กล่าวว่า การประชุมและจัดแสดงสินค้าปลาทูน่าโลก ประเทศไทยได้รับเกียรติให้เป็นเจ้าภาพร่วมในการจัดประชุมมาแล้ว 9 ครั้ง นับตั้งแต่ปี 2547 เนื่องจากผลิตภัณฑ์จากอุตสาหกรรมปลาทูน่า เป็นหนึ่งในผลิตภัณฑ์สัตว์น้ำที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในโลก และเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีห่วงโซ่คุณค่าทางการค้าสูง ซึ่งประเทศไทยเป็นประเทศที่มีปริมาณการนำเข้าวัตถุดิบและส่งออกผลิตภัณฑ์ปลาทูน่าเป็นอันดับหนึ่งของโลก
ในปี 2564 มีรายงานจาก Global Tuna Production and Trade ว่า ปริมาณการส่งออกผลิตภัณฑ์ปลาทูน่าของโลกมีจำนวนมากถึง 2.8 ล้านตัน คิดเป็นมูลค่าประมาณ 317,800 ล้านบาท ซึ่งประเทศไทย มีปริมาณการนำเข้าประมาณ 720,000 ตัน คิดเป็น 21% ของปริมาณการนำเข้าของโลก และมีปริมาณการส่งออกประมาณ 495,000 ตัน คิดเป็น 17.7% ของปริมาณการส่งออกของโลก ด้านอุตสาหกรรมปลาทูน่าของไทยส่วนใหญ่เป็นการนำเข้าวัตถุดิบเพื่อการแปรรูป และส่งออกผลิตภัณฑ์ปลาทูน่าที่แปรรูปแล้วไปยังประเทศต่างๆ ทั่วทุกภูมิภาคของโลก โดยมีมูลค่ารวมสูงถึง 68,145 ล้านบาท
สำหรับด้านการค้าผลิตภัณฑ์ปลาทูน่าได้ขยายตัวอย่างรวดเร็ว เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคทั่วโลก และเพื่อให้เกิดความยั่งยืนของอุตสาหกรรมปลาทูน่าและทรัพยากรปลาทูน่า จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งในการทำความเข้าใจเกี่ยวกับความสำคัญของปลาทูน่าต่อระบบเศรษฐกิจโลกและระบบนิเวศทางทะเล รวมถึงการสนับสนุนการจัดการประชากรปลาทูน่าร่วมกัน โดยรัฐบาลไทยได้ให้ความร่วมมือกับองค์กรจัดการประมงปลาทูน่าในระดับภูมิภาค (Tuna-Regional Fisheries Management Organizations: T-RFMOs) อาทิ การเข้าร่วมเป็นภาคีสมาชิกการจัดการทรัพยากรประมงปลาทูน่าในมหาสมุทรอินเดีย (Indian Ocean Tuna Commission: IOTC) และความร่วมมือด้านการประมงในมหาสมุทรแปซิฟิกตะวันตกตอนกลาง (Western and Central Pacific Fisheries Commission: WCPFC) ตลอดจนการประสานแลกเปลี่ยนข้อมูลกับรัฐเจ้าของธง (flag state) รัฐเจ้าของท่า (port state) และรัฐชายฝั่ง (coastal state)
นอกจากนี้ ประเทศไทยได้ให้ภาคยานุวัติสาร เพื่อเข้าเป็นภาคีความตกลงว่าด้วยมาตรการรัฐเจ้าของท่า (PSMA) เมื่อปี 2559 เพื่อแสดงให้เห็นถึงเจตจำนงของรัฐบาล ในการนำมาตรการทางกฎหมายระหว่างประเทศมาใช้แก้ปัญหาการทำประมงผิดกฎหมาย และส่งเสริมการอนุรักษ์และใช้ทรัพยากรทางทะเลอย่างยั่งยืน โดยถือเป็นการดำเนินการที่สำคัญของรัฐบาล ในการขับเคลื่อนการปฏิรูปภาคประมงของประเทศ ให้ไปสู่การเป็นประเทศที่ปลอดการทำประมงผิดกฎหมาย (IUU-Free Thailand)
ปัจจุบัน ประเทศไทยได้นำมาตรการ PSMA มาใช้อย่างเต็มรูปแบบ ในการตรวจสอบแหล่งที่มาของสินค้าสัตว์น้ำก่อนที่จะอนุญาตนำเข้าประเทศ โดยการนำมาตรการตรวจสอบ ควบคุม เฝ้าระวัง (Monitoring Control and Surveillance: MCS) มาใช้ร่วมกับกระบวนการตรวจสอบย้อนกลับอิเล็กทรอนิกส์ (E-Traceability) เพื่อให้แน่ใจว่าแหล่งที่มาของสินค้าสัตว์น้ำดังกล่าวไม่ได้มาจากการทำประมงผิดกฎหมาย ซึ่งถือว่าเป็นต้นทางที่ส่งผลต่อความยั่งยืนของอุตสาหกรรมปลาทูน่าและทรัพยากรปลาทูน่า รวมถึงการสร้างความมั่นใจให้กับผู้บริโภค ด้วยการควบคุมคุณภาพการผลิตที่ถูกสุขอนามัยและได้มาตรฐานสากล เพื่อให้อุตสาหกรรมปลาทูน่า เป็นอุตสาหกรรมที่สร้างความมั่นคงทางอาหาร และสนับสนุนการทำประมงที่ยั่งยืนภายใต้ SDG 14
อธิบดีกรมประมง กล่าวว่า การจัดการประชุมดังกล่าว เป็นการประชุมทางด้านวิชาการ และการค้าปลาทูน่าของโลกที่ใหญ่ที่สุด และถือเป็นโอกาสที่ดีสำหรับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียที่เกี่ยวข้องในอุตสาหกรรมปลาทูน่า ในการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารและประสบการณ์ในอุตสาหกรรมปลาทูน่าอย่างรอบด้าน อาทิ ความรู้ทางวิชาการ สภาวะทรัพยากรปลาทูน่าทั่วโลก การบริหารจัดการทรัพยากรปลาทูน่า การพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม การกำหนดมาตรการทางกฎหมายต่างๆ การค้าและการตลาด ตลอดจนปัญหาและอุปสรรคในเชิงธุรกิจ
ทั้งนี้ รวมถึงการอำนวยความสะดวกในการเจรจาทางธุรกิจระหว่างผู้ซื้อและผู้ขายภายในงาน อันจะยังประโยชน์ให้นำไปสู่การปรับตัว และสร้างความเข้าใจร่วมกันของอุตสาหกรรมปลาทูน่า รวมไปถึงเพื่อให้เกิดการพัฒนาที่ยั่งยืนของอุตสาหกรรมปลาทูน่าของโลก