น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ตามที่รัฐบาลมีนโยบายจัดหาวัคซีนป้องกันโควิด19 เพื่อฉีดให้กับประชาชนทุกกลุ่มให้ครอบคลุมมากที่สุดนั้น ล่าสุดกระทรวงสาธารณสุขได้รับการส่งมอบวัคซีนสำหรับเด็กอายุ 6เดือนถึง 4 ปี จากผู้ผลิตแล้ว และเริ่มฉีดให้เด็กกลุ่มเป้าหมายแล้วตั้งแต่วันที่ 12 ต.ค. 65 เป็นต้นมา
ดังนี้ รัฐบาลเชิญชวนผู้ปกครองพาบุตรหลาน ที่มีอายุ 6 เดือน ถึง 4 ปี เข้ารับการฉีดวัคซีนป้องกันโรคโรควิด-19 โดยกระทรวงสาธารณสุข ได้กระจายวัคซีนไฟเซอร์ฝาสีแดงเข้ม จำนวน 5 แสนโดส ไปยังโรงพยาบาลทั่วประเทศ เรียบร้อยแล้ว โดยมีประสิทธิภาพ มาตรฐาน และความปลอดภัย ได้รับการขึ้นทะเบียนจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา(อย.) เมื่อวันที่ 24 ส.ค.65 ผู้ปกครองสามารถลงทะเบียนหรือพาบุตรหลาน เข้ารับบริการฉีดวัคซีนได้ตามความสมัครใจ
น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า เด็กเล็กมีโอกาสสูงในการติดเชื้อโควิด-19 จากกิจกรรมต่างๆ โดยที่ผ่านมาเด็ก 6 เดือน ถึง 4 ปี เป็นกลุ่มที่ยังไม่ได้รับวัคซีน ทำให้ในช่วงการระบาดของโอมิครอนพบว่าเด็กกลุ่มนี้มีการอัตราการป่วยสูงกว่าเด็กโต 3 เท่า และในช่วงปลายปีต่อเนื่องถึงต้นปีกระทรวงสาธารณสุขได้ประเมินว่าอาจจะมีการระบาดในต่างประเทศเพิ่มขึ้น เห็นจากข้อมูลในยุโรป สิงคโปร์ ที่พบผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้น และขณะนี้ประเทศไทยได้เปิดประเทศเต็มที่แล้ว ดังนั้นจึงอยากให้พ่อแม่ผู้ปกครองให้ความสำคัญกับการนำบุตรหลานเข้ารับวัคซีนเพื่อลดความเสี่ยงจากการติดเชื้อ
สำหรับข้อกังวลเรื่องผลข้างเคียงนั้น กรมควบคุมโรคระบุว่าตั้งแต่เริ่มฉีดวัคซีนตั้งแต่วันที่ 12 ต.ค. 65 เป็นต้นมา จำนวนหลายร้อยโดสนั้นยังไม่พบเด็กมีอาการแพ้วัคซีนแต่อย่างใด ในส่วนของต่างประเทศเอง ในสหรัฐฯ มีการฉีดวัคซีนในเด็กเล็กและติดตามล้านกว่าโดส พบว่ามีผลข้างเคียงน้อยกว่าเด็กโต ไม่มีอาการแทรกซ้อนรุนแรงถึงเสียชีวิต
น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า วัคซีนโควิด 19 สำหรับเด็กอายุ 6 เดือนถึง 4 ปี มีขนาด 3 ไมโครกรัม ปริมาณ 0.2 มิลลิลิตร ฉีดจำนวน 3 เข็ม ระยะห่างเข็มแรกกับเข็มสอง 4 สัปดาห์ และระยะห่างเข็มสามอีก 8 สัปดาห์ สามารถให้พร้อมกับวัคซีนชนิดอื่นได้ในวันเดียวกัน หรือห่างกันเท่าใดก็ได้ โดยสถานที่ฉีดได้จัดจุดบริการแยกจากกลุ่มวัยอื่น เพื่อป้องกันความสับสนในการใช้วัคซีน ผู้ปกครองสามารถติดต่อพาบุตรหลานไปรับวัคซีนได้ที่สถานพยาบาลทุกระดับ รวมทั้ง รพ.สต. ตามที่คณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดกำหนด สอบถามข้อมูลได้ที่ 1422 สายด่วนกรมควบคุมโรค