นายประพิศ จันทร์มา อธิบดีกรมชลประทาน เปิดเผยว่า กรมอุตุนิยมวิทยา คาดการณ์ว่าปริมาณฝนตกจะเริ่มเพิ่มขึ้นในพื้นภาคใต้ของประเทศ ตั้งแต่บริเวณ จ.ประจวบคีรีขันธ์ ลงไป จึงได้มอบหมายให้สำนักงานชลประทานในพื้นที่ภาคใต้ เตรียมพร้อมรับมือสถานการณ์น้ำ ตามมาตรการรับมือฤดูฝนปี 65 โดยให้วางแผนการบริหารจัดการน้ำ การคาดการณ์สถานการณ์ล่วงหน้า เพื่อให้สามารถรับมือกับสถานการณ์น้ำได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
พร้อมเฝ้าระวังและควบคุมปริมาณน้ำในอ่างเก็บน้ำให้อยู่ในเกณฑ์ที่กำหนด พิจารณาปรับการระบายน้ำ เพื่อรองรับปริมาณน้ำที่จะเพิ่มขึ้น โดยไม่กระทบต่อพื้นที่ท้ายอ่าง รวมทั้งตรวจสอบอาคารชลประทานให้พร้อมใช้งานได้อย่างเต็มศักยภาพ หมั่นกำจัดสิ่งกีดขวางทางน้ำอย่างต่อเนื่อง ที่สำคัญให้บูรณการร่วมกับหน่วยงานระดับจังหวัด ในการประชาสัมพันธ์แจ้งเตือนถึงสถานการณ์น้ำให้ประชาชนได้รับทราบอย่างต่อเนื่อง ลดผลกระทบที่จะเกิดกับประชาชนให้ได้มากที่สุด
ปัจจุบัน (17 ต.ค.65) อ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่และขนาดกลางทั่วประเทศ มีปริมาณน้ำรวมกัน 63,682 ล้าน ลบ.ม. คิดเป็น 84% ของความจุอ่างฯ ยังสามารถรับน้ำได้อีก 13,297 ล้าน ลบ.ม. เฉพาะ 4 เขื่อนหลักลุ่มน้ำเจ้าพระยา (เขื่อนภูมิพล เขื่อนสิริกิติ์ เขื่อนแควน้อยบำรุงแดน และเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์) มีปริมาณน้ำรวมกัน 20,335 ล้าน ลบ.ม. คิดเป็น 82% ของความจุอ่างฯ สามารถรับน้ำได้อีก 4,587 ล้าน ลบ.ม.
นายธเนศร์ สมบูรณ์ ผู้อำนวยการสำนักบริหารจัดการน้ำและอุทกวิทยา กรมชลประทาน เปิดเผยว่า ปัจจุบันปริมาณฝนในพื้นที่ตอนบนได้ลดน้อยลง ส่งผลให้สถานการณ์น้ำท่วมในหลายพื้นที่เริ่มคลี่คลายลดลงตามไปด้วย กรมชลประทาน ได้ปรับลดการระบายน้ำในหลายพื้นที่แบบขั้นบันได โดยพิจารณาการระบายน้ำให้สอดคล้องกับสถานการ์ณปัจจุบัน รักษาปริมาณน้ำให้อยู่ในอ่างเก็บน้ำตามเกณฑ์กักเก็บที่กำหนดไว้ เพื่อสำรองไว้ใช้ในช่วงฤดูแล้งให้ได้มากที่สุด ซึ่งขณะนี้ มีพื้นที่ที่กลับเข้าสู่ภาวะปกติแล้ว 22 จังหวัด