นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรมว.สาธารณสุข พร้อมด้วยผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุข มอบนโยบายและแนวทางการเร่งสร้างเสริมภูมิคุ้มกันสู่ประชาชน ให้กับอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) และสำนักงานสาธารณสุขจังหวัด (สสจ.) "รวมพลัง อสม. ส่งต่อภูมิคุ้มกัน ป้องกัน 608 ให้ปลอดภัย" ว่า แม้สถานการณ์การระบาดของโรคโควิด-19 จะคลี่คลายแล้ว แต่ยังเน้นย้ำภารกิจของทุกหน่วยงานในการส่งเสริมให้ประชาชนตระหนักและปฏิบัติตามมาตรการป้องกันทางสาธารณสุขต่างๆ อย่างเคร่งครัด โดยเฉพาะการสร้างเสริมภูมิคุ้มกัน เนื่องจากการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้น เป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยลดการป่วยหนักและเสียชีวิตของประชาชนได้อย่างมาก โดยเฉพาะในกลุ่มผู้สูงอายุ
ซึ่งที่ผ่านมา อสม. เป็นกลไกสำคัญที่ช่วยสนับสนุนการดำเนินงานที่เกี่ยวกับโรคโควิด-19 มาอย่างต่อเนื่อง กระทรวงสาธารณสุข จึงมีแนวคิดให้ อสม. เป็นสื่อกลางเชื่อมโยงนโยบายจากกระทรวงสาธารณสุขสู่ประชาชน โดยเร่งการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรคโควิด-19 ให้มากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะกลุ่ม 608 ที่มีความเสี่ยงป่วยหนักและเสียชีวิตมากกว่ากลุ่มอื่น ๆ ควรได้รับวัคซีนเข็มกระตุ้นอย่างน้อย 70%
โดย อสม.เป็นแกนนำหลักในการค้นหากลุ่มเป้าหมายในพื้นที่รับผิดชอบให้เข้ารับวัคซีน เริ่มตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป จนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 65 โดยมีเป้าหมายการฉีดวัคซีนอย่างน้อย 2 ล้านโดส และขอให้อสม. ทุกคนได้ฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นอย่างน้อย 1 เข็ม เพื่อเป็นต้นแบบในการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรคโควิด-19 แก่ประชาชน และขอให้ทุกหน่วยงานทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม ร่วมกันบูรณาการจัดบริการวัคซีนให้เข้าถึงทุกคนมากที่สุด
นพ.ณรงค์ สายวงศ์ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า สถานการณ์การระบาดของโรคโควิด-19 ในปัจจุบันมีแนวโน้มเกิดการกลายพันธุ์และแพร่ระบาดเพิ่มขึ้นในบางประเทศ เช่น สิงคโปร์ ฮ่องกง และบางประเทศในยุโรป พบสายพันธุ์ XBB เพิ่มขึ้นจำนวนมาก แต่สถานการณ์การฉีดวัคซีนของประเทศไทยในขณะนี้ มีผู้ที่เข้ารับวัคซีนทั่วประเทศรวมทุกเข็ม ทุกกลุ่ม เป้าหมาย ประมาณ 15,000 คนต่อวัน หรือ 5 แสนคนต่อเดือน โดยกลุ่มผู้สูงอายุ ซึ่งเป็นกลุ่มเสี่ยงสูงที่จะป่วยหนักและเสียชีวิต หากไม่เคยได้รับวัคซีน/ไม่รับวัคซีนเข็มกระตุ้น ได้รับเข็มกระตุ้นเพียง 43.4%
ทั้งนี้ ที่ประชุมคณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติที่ผ่านมา ได้มีมติให้ทุกจังหวัดเตรียมความพร้อมซ้อมแผนรองรับสถานการณ์การระบาดที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต และขอเชิญชวนให้ทุกคน โดยเฉพาะกลุ่ม 608 และลูกหลาน ในครอบครัวเข้ารับวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ทั้งเข็มปกติและเข็มกระตุ้น ได้ที่หน่วยบริการใกล้บ้านทั่วประเทศ