บอร์ด BCG กำชับหน่วยงานรัฐเร่งส่งเสริมสาขายาและวัคซีน-เกษตร-นวัตกรรมฯ

ข่าวทั่วไป Monday October 31, 2022 17:50 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า การประชุมคณะกรรมการบริหารการพัฒนาเศรษฐกิจชีวภาพ-เศรษฐกิจหมุนเวียน-เศรษฐกิจสีเขียว (Bio-Circular-Green Economy:BCG Model) ที่มี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม เป็นประธาน ได้ย้ำถึงความสำคัญของการบริหารการพัฒนาเศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน เศรษฐกิจสีเขียว (Bio-Circular-Green Economy:BCG Model) ซึ่งประเทศไทยได้เสนอในการขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศไทยด้วยโมเดลเศรษฐกิจ BCG ต่อการประชุมเอเปคที่ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพในปีนี้ และใช้โอกาสนี้ในการประชาสัมพันธ์การขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศไทยด้วยโมเดลเศรษฐกิจ BCG ให้นานาประเทศได้รับรู้ผ่านกิจกรรม สินค้าและผลิตภัณฑ์ BCG ต่าง ๆ ของประเทศไทยด้วย

รวมทั้งติดตามความก้าวหน้าการดำเนินงานตามมติคณะกรรมการบริหารการพัฒนาเศรษฐกิจ BCG Model ครั้งที่ 1/2565 (7 ก.พ.65) ทั้ง 5 ประเด็นสำคัญ ได้แก่ 1.การจัดสรรงบประมาณ 2.ภาครัฐปรับยุทธศาสตร์บูรณาการ BCG เพื่อการพัฒนาเชิงพื้นที่ 3.การสร้างระบบนิเวศเพื่อกระตุ้นการลงทุนภาคเอกชน 4.การสนับสนุนภาคประชาสังคม และ 5.การติดตามผลการดำเนินงานตามแผน BCG ต่อการบรรลุเป้าหมาย SDG ซึ่งมีความสอดคล้องกับยุทธศาสตร์การขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศไทยด้วยโมเดลเศรษฐกิจ BCG และแผนการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 13 (2566-2570) โดยขอให้ทุกฝ่ายร่วมมือกันเดินหน้าขับเคลื่อนต่อไปให้เกิดผลเป็นรูปธรรมตามแผนเพื่อบรรลุเป้าหมาย BCG และ SDG ตามที่กำหนดไว้

โดยนายกรัฐมนตรีได้ขอบคุณทุกภาคส่วนที่ร่วมขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศด้วยโมเดลเศรษฐกิจ BCG ซึ่งเริ่มเห็นผลสำเร็จที่เป็นรูปธรรมโดยลำดับ และขอให้ทุกภาคส่วนได้ร่วมดำเนินการอย่างเข้มข้น ให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งสร้างการรับรู้และประชาสัมพันธ์การขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศไทยด้วยโมเดลเศรษฐกิจ BCG และ SDG ตามนโยบายรัฐบาล ให้ประชาชนและสังคมได้รับทราบอย่างกว้างขวาง และเห็นถึงประโยชน์ที่ประชาชนและประเทศไทยจะได้รับจากการดำเนินการดังกล่าว เพื่อประชาชนทุกภาคส่วนในสังคมของประเทศไทยร่วมมือกันขับเคลื่อน BCG เดินหน้าไปสู่เป้าหมายที่กำหนดไว้ร่วมกัน

นายอนุชา กล่าวว่า ที่ประชุมมีมติเห็นชอบมาตรการสนับสนุนการขับเคลื่อน 3 สาขายุทธศาสตร์ ได้แก่

1.สาขายาและวัคซีน ให้สำนักงบประมาณพิจารณาสนับสนุนงบประมาณ 661.79 ล้านบาท เพื่อการจัดตั้งศูนย์แปลผลข้อมูลพันธุกรรมสำหรับการแพทย์แม่นยำในโรคมะเร็ง และศูนย์แปลผลข้อมูลพันธุกรรมสำหรับการแพทย์แม่นยำในโรคหายากและโรควินิจฉัยยาก ซึ่งคาดว่าจะมีคนไทยกว่า 4 ล้านคน มีโอกาสได้รับประโยชน์จากการดำเนินโครงการดังกล่าว ส่งเสริมการจัดตั้งโรงงานผลิตวัตถุดิบทางยา (Active Pharmaceutical Ingredient, API) ครั้งแรกของประเทศเพื่อความมั่นคงทางด้านสุขภาพ การจัดตั้งโรงงานดังกล่าวคาดว่าจะใช้เงินลงทุนประมาณ 1,000 ล้านบาท ในรูปแบบของการร่วมทุนระหว่าง บมจ.ปตท. (PTT) โดย บริษัท อินโนบิก (เอเชีย) จำกัด, องค์การเภสัชกรรม และ สวทช.

2.สาขาเกษตร ได้สั่งการให้สำนักงบประมาณพิจารณาสนับสนุนงบประมาณ 50 ล้านบาท เพื่อการยกระดับโครงสร้างพื้นฐานเพื่อการผลิต Autogenous Vaccine ณ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ให้ได้มาตรฐานเพื่อรองรับการผลิตวัคซีนใช้ป้องกันโรคระบาดที่สำคัญในฟาร์ม เสริมการดำเนินงานของราชบุรี Sandbox ในการจัดการโรคระบาดในสุกร และมอบให้ทุกหน่วยงานที่จัดเก็บข้อมูลตลอด Supply Chain เปิดเผยข้อมูลเพื่อสนับสนุนการบริหารจัดการสู่เกษตรสมัยใหม่ด้วยการใช้คลังข้อมูลขนาดใหญ่ ทั้งนี้ มีเป้าหมายเพิ่มรายได้เกษตรกร ผลิตได้ตรงเป้าและลดความเสี่ยงจากภัยพิบัติต่างๆ ด้วยการวางแผนรับมือได้ล่วงหน้า

3.สาขานวัตกรรม โครงสร้างพื้นฐานและสิ่งอำนวยความสะดวก ให้กระทรวงการคลังเร่งพิจารณาแนวทางลดอุปสรรคทางภาษีเพื่อสนับสนุนการร่วมลงทุนระหว่าง บมจ.ปูนซิเมนต์ไทย (SCC) และบริษัท Braskem ซึ่งเป็นผู้ผลิตโพลิเมอร์ชีวภาพรายใหญ่ที่สุดในโลก ในการจัดตั้งโรงงานผลิตพลาสติกชีวภาพ พอลิเอทิลีน (Bio-PE) ด้วยมูลค่าการลงทุนกว่า 2 หมื่นล้านบาท กำลังการผลิต 2 แสนตัน/ปี ใช้เอทานอล 450 ล้านลิตร/ปี โดยทุกตันของ Bio-PE ที่ผลิตปล่อยก๊าซคาร์บอนออกไซด์ต่ำกว่าปิโตรเลียม 5 เท่า

นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรีได้สั่งการและเน้นย้ำให้ภาครัฐทุกกระทรวงเร่งเครื่องสนับสนุนการขับเคลื่อนโมเดลเศรษฐกิจ BCG ตามภูมิภาคต่างๆ โดยที่ประชุมเห็นชอบในหลักการและให้หารือสภาพัฒน์เพื่อหาแนวทางขับเคลื่อนการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษ BCG ทุ่งกุลาร้องไห้ ต่อไป รวมทั้งให้กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศสนับสนุนการใช้สัญลักษณ์ T-Mark (Thailand Trust Mark) สำหรับผู้ประกอบการ BCG และกลุ่มวิสาหกิจขนาดย่อมเพื่อสนับสนุนการขยายตลาดให้กับผู้ประกอบการ BCG อีกทางหนึ่ง

ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีเน้นย้ำให้สภาพัฒน์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาหาแนวทางที่เหมาะสมในการขับเคลื่อนการพัฒนาทุ่งกุลาร้องไห้ให้เกิดความเป็นธรรรมกับทุกฝ่าย นำไปสู่การลดความเหลื่อมล้ำ ตามนโยบายรัฐบาลอย่างแท้จริง

ขณะเดียวกันให้สำนักงบประมาณนำแนวคิด BCG ไปเป็นแนวทางการจัดสรรงบประมาณและเตรียมผลักดันให้มีงบบูรณาการ BCG ในปีงบประมาณ 2567 และหน่วยงานต่างๆ ได้มีการปลดล็อกกฎหมายเพิ่มเติม ได้แก่ ประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง "กำหนดคุณภาพหรือมาตรฐานของภาชนะบรรจุที่ทำจากพลาสติก" อนุญาตให้ใช้ภาชนะบรรจุที่ทำจากพลาสติกแปรใช้ใหม่ (Recycled Plastic) เพื่อการบรรจุอาหารได้, ประกาศกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช เรื่อง "ห้ามนำภาชนะที่ทำด้วยโฟมและบรรจุภัณฑ์พลาสติกชนิดใช้ครั้งเดียวทิ้งเข้าไปในอุทยานแห่งชาติ" เพื่อการอนุรักษ์ รักษา ฟื้นฟู ความหลากหลายทางชีวภาพในพื้นที่อุทยานแห่งชาติทั่วประเทศ และ ประกาศกรมสรรพสามิต เรื่อง "หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการขอใช้สิทธิเสียภาษีในอัตราศูนย์สำหรับสุราสามทับที่นำไปใช้ในการอุตสาหกรรม" ให้แก่อุตสาหกรรมการผลิตเครื่องสำอางตามกฎหมายว่าด้วยเครื่องสำอาง และอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์สมุนไพรตามกฎหมายว่าด้วยผลิตภัณฑ์สมุนไพรเพิ่มเติม

นายอนุชา กล่าวว่า สำหรับแนวคิดการพัฒนาประเทศด้วยโมเดลเศรษฐกิจ BCG ของรัฐบาล ได้ดำเนินการภายใต้จุดแข็งของประเทศทางด้านความหลากหลายทางชีวภาพและวัฒนธรรมมาเป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจของไทย ซึ่งสอดคล้องต่อเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals: SDGs) ที่ทั่วโลกกำลังให้ความสำคัญ ส่งผลดีทำให้ภาคเอกชนไทยต่างขานรับโมเดลเศรษฐกิจ BCG

โดยในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2565 มีเอกชนขอรับการส่งเสริมการลงทุนจากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) มูลค่าประมาณ 80,000 ล้านบาท มีสัดส่วนสูงถึง 36%ของมูลค่าโครงการ โดยธุรกิจนวัตกรรมที่ขอรับการส่งเสริมการลงทุน เช่น การผลิตวัสดุสิ้นเปลืองทางการแพทย์ ผลิตชุดตรวจวินิจฉัยทางการแพทย์และน้ำยาสำหรับชุดตรวจวินิจฉัยทางการแพทย์ การผลิตพืชด้วยโรงงานผลิตพืช (Plant Factory) และการผลิตโปรตีนจากพืช

ขณะที่สถาบันการเงินมีการให้สินเชื่อเพื่อการสนับสนุนการประกอบอาชีพ และการดำเนินธุรกิจ BCG ด้วยมูลค่ามากกว่า 1 แสนล้านบาท ภายในปี 2570 ได้แก่ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) มีวงเงิน 6 หมื่นล้านบาท ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM Bank) มีเป้าหมายปล่อยสินเชื่อเพิ่มจาก 5 หมื่นล้านบาท เป็น 1 แสนล้านบาท

สำหรับการขับเคลื่อนโมเดลเศรษฐกิจ BCG ในภาคสังคมได้เตรียมการจัดตั้ง "ธนาคารอาหารออนไลน์" ด้วยระบบ "คลาวด์ ฟู้ด แบงค์" ครั้งแรกในประเทศไทยด้วยความร่วมมือของหน่วยงานต่าง ๆ แบบจตุภาคี ซึ่งแพลตฟอร์ม "คลาวด์ ฟู้ด แบงค์" เป็นแพลตฟอร์มกลางเชื่อมโยงระหว่างผู้ที่ต้องการบริจาคอาหารกับกลุ่มคนที่ขาดแคลนอาหารเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพระบบการรับและการส่งต่ออาหาร โดยเอสโอเอสเป็นผู้พัฒนาและดูแลระบบโดยมีบริษัท อลิอันซ์ อยุธยา ประกันชีวิต เป็นผู้สนับสนุนงบประมาณในการพัฒนาแพลตฟอร์ม


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ