น.ส.มนัญญา ไทยเศรษฐ์ รมช.เกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่า จากกรณีที่มีข่าวว่าองค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทย (อ.ส.ค.) จะขายแบรนด์ "ไทย-เดนมาร์ก" ให้ต่างประเทศเพื่อผลิตและจำหน่ายนมผง ซึ่งผิดวัตถุประสงค์การก่อตั้ง อ.ส.ค. ตนจึงได้เชิญสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจองค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทย (สร.อ.ส.ค.) มาร่วมประชุมหารือกับผู้บริหาร อ.ส.ค. เพื่อทำความเข้าใจให้ตรงกัน
"ก่อนหน้านี้ ต่างฝ่ายต่างมีชุดข้อมูลไม่เหมือนกัน อาจทำให้เกิดการเข้าใจผิด ซึ่งทั้งสองหน่วยงานต่างเป็นองค์เดียวกัน ควรมีความเข้าใจที่ตรงกัน" น.ส.มนัญญา กล่าว
โดย นายสมพร ศรีเมือง ผู้อำนวยการ อ.ส.ค.ได้ชี้แจงว่า โครงการดังกล่าว เป็นการอนุญาตให้เอกชนใช้เครื่องหมายการค้าเท่านั้น ไม่ใช่การขายแบรนด์ตามที่มีการพูดถึง เป็นเพียงการให้สิทธิ์การใช้เครื่องหมายการค้า เฉพาะสินค้านมผงเลี้ยงทารกเท่านั้น เพราะเป็นที่ทราบกันดีว่า อ.ส.ค.ก่อตั้งมาเพื่อเกษตรกรไทย โดยมีเงื่อนไขในเรื่องของการแบ่งปันผลกำไร และการถ่ายทอดเทคโนโลยีนมผงสำหรับเลี้ยงทารก ซึ่งเป็นนมสูตร 2 สำหรับทารกอายุตั้งแต่ 6 เดือน ถึง 1 ปีเท่านั้น เพราะปัจจุบันในประเทศไทยไม่มีโรงงานใดมีศักยภาพที่จะผลิตได้ เนื่องจากเป็นเทคโนโลยีขั้นสูง
อย่างไรก็ตาม อ.ส.ค.ได้ชี้แจงว่า ขั้นตอนของโครงการนี้ อยู่ระหว่างการตรวจสอบรายละเอียดโดยสำนักงานอัยการสูงสุด (อสส.) ดังนั้นระหว่างนี้จึงให้ อ.ส.ค.และ สร.อ.ส.ค.ไปหารือทำความเข้าใจกัน เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับประเทศ และไม่กระทบกับเกษตรกรผู้เลี้ยงโคนม
ผู้อำนวยการ อ.ส.ค.กล่าวว่า อ.ส.ค.ได้ทำการศึกษาโครงการนี้มาตั้งแต่ปี 2564 และเคยนำชี้แจงต่อที่ประชุมบอร์ด อ.ส.ค. แล้ว รวมถึงชี้แจงต่อที่ประชุมใหญ่ สร.อ.ส.ค. เมื่อวันที่ 19 ส.ค.65 ถึงแนวทางการพัฒนาธุรกิจ อ.ส.ค. ซึ่งมีโครงการนี้อยู่ด้วย โดยยืนยันว่าไม่ใช่การขายแบรนด์ แต่เป็นการให้สิทธิ์ในเครื่องหมายการค้าเฉพาะนมผงเลี้ยงทารกเท่านั้น ซึ่งปัจจุบันประเทศไทยไม่มีโรงงานผลิตนมผงสำหรับทารก
โดย หาก อ.ส.ค.จะลงทุนตั้งโรงงานเอง จะต้องใช้งบประมาณมูลค่ากว่า 2,400 ล้าน ซึ่งเป็นงบที่สูงมาก เนื่องจากต้องใช้เทคโนโลยีขั้นสูง ต้องจ้างผู้เชี่ยวชาญจากต่างประเทศ และต้องมีห้องปฏิบัติการทางวิทยาศาสตร์ หรือห้องแลป นอกจากนั้น โอกาสการแข่งขันทางการตลาดกับเอกชนผู้ผลิตนมผงเลี้ยงทารกรายใหญ่เป็นไปได้ยาก เพราะตลาดนมผงทารกในขณะนี้เป็นต่างประเทศทั้งหมด
"ก่อนหน้านี้ได้มีการหารือร่วมกับเอกชน และกงสุลไทยประจำออสเตรเลีย ซึ่งทางเอกชนสนใจที่จะนำนมผงมาจำหน่ายในไทยภายใต้แบรนด์วัวแดง จึงมีการหารือมาเป็นลำดับ โดยมีเงื่อนไขแบ่งปันผลประโยชน์ไม่ต่ำกว่า 30 ล้านบาทต่อปี และอาจจะขยายเพิ่มขึ้นตามยอดกำไรสุทธิ นอกจากนั้นยังมีเงื่อนไขว่า เอกชนจะต้องถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตนมผงทารก ตั้งแต่การเลี้ยงวัวให้ได้คุณภาพน้ำนมดิบ และการพัฒนาโรงงาน การพัฒนาคน รวมถึงเอกชนจะต้องเป็นผู้ทำการตลาดเอง และหากไม่สามารถปฏิบัติตามข้อตกลงได้ อ.ส.ค.ก็มีสิทธิ์ยกเลิกสัญญา โดยที่ อ.ส.ค.ไม่ต้องมีการลงทุนใดๆ และยืนยันว่าไม่กระทบกับธุรกิจของ อ.ส.ค. เนื่องจากผลิตภัณฑ์ไม่ซ้ำกัน และไม่กระทบกับเกษตรกรผู้เลี้ยงโคนม เนื่องจากคุณภาพน้ำนมที่เกษตรกรไทยผลิตได้ยังไม่สามารถใช้ผลิตนมผงสำหรับทารกได้" นายสมพร กล่าว
ปัจจุบันน้ำนมดิบในประเทศ มีปริมาณ 2,500 ตันต่อวัน ลดลงจากเดิมที่ผลิตได้ 3,300 ตัน เนื่องจากต้นทุนวัตถุดิบอาหารสัตว์ราคาสูงขึ้นจากผลกระทบสงครามรัสเซีย-ยูเครน ทำให้เกษตรกรเลิกเลี้ยงวัวนม ซึ่งปัจจุบันราคาน้ำนมดิบ 20.50 บาทต่อกิโลกรัม และจากปริมาณผลผลิตที่ลดลงจึงมีการแย่งซื้อ ส่งผลให้ราคาน้ำนมปัจจุบันเพิ่มขึ้น 24 บาทต่อกิโลกรัม
ด้าน น.ส.ณัฐภร แก้วประทุม ประธาน สร.อ.ส.ค. ยอมรับว่า ที่ผ่านมาไม่ได้รับการสื่อสารโดยตรงจากผู้อำนวยการ อ.ส.ค. ตลอดจนเอกสารโครงการงานวิจัยต่างๆ จึงต้องไปยื่นเรื่องร้องต่อคณะกรรมาธิการ (กมธ.) กิจการศาล องค์กรอิสระ องค์กรอัยการ รัฐวิสาหกิจ องค์การมหาชน และกองทุน สภาผู้แทนราษฎร ซึ่งหลังจากนี้ จะมีการหารือร่วมกับผู้อำนวยการ อ.ส.ค.ให้มากขึ้น และเห็นว่า อ.ส.ค.ควรพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ อ.ส.ค.มีอยู่แล้วให้ดี และต้องสร้างความมั่นใจกับเกษตรกรผู้เลี้ยงนม ตลอดจนสมาชิก อ.ส.ค.ว่า สมาชิกจะไม่ได้รับผลกระทบจากโครงการนี้