ปลดล็อคนทท.เข้าไทย ไม่ต้องโชว์ใบรับรองฉีดวัคซีน

ข่าวทั่วไป Monday January 9, 2023 15:28 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ปลดล็อคนทท.เข้าไทย ไม่ต้องโชว์ใบรับรองฉีดวัคซีน

นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรมว.สาธารณสุข ยืนยันว่า ขณะนี้ผู้ที่เดินทางมาจากต่างประเทศเข้าไทย ไม่จำเป็นต้องแสดงใบรับรองการรับวัคซีนป้องกันโควิด-19แล้ว เนื่องจากล่าสุด มีการประชุมคณะกรรมการวิชาการ ภายใต้ พ.ร.บ.โรคติดต่อ ได้รับรายงานจากอธิบดีกรมควบคุมโรคว่า คณะกรรมการเห็นว่ามีการฉีดวัคซีนทั้งในประเทศไทยและในประเทศจีนจำนวนมากแล้ว ตลอดจนประเทศอื่นๆ ทั่วโลก มีภูมิคุ้มกันกันในระดับหนึ่งแล้ว ดังนั้นการจะไปมุ่งเน้นว่าจะต้องแสดงหลักฐานการฉีดวัคซีน จึงเป็นเหตุให้เกิดความไม่คล่องตัว ไม่สะดวก

ในวันนี้ได้มีการประชุมคณะกรรมการด้านวิชาการฯ ตาม พ.ร.บ.โรคติดต่อ พ.ศ.2558 โดยที่ประชุมได้มีมติให้ยกเลิกการตรวจเอกสารการฉีดวัคซีนโควิด-19 ครบ 2 เข็ม ของนักเดินทางก่อนเดินทางเข้าประเทศไทย เนื่องจากประเทศไทยได้ปรับมาตรการมาระยะหนึ่งแล้ว ครอบคลุมทั้งการคัดกรอง ป้องกัน และดูแลรักษานักท่องเที่ยวต่างชาติมาตั้งแต่ปีที่แล้ว และยังไม่พบว่า นักท่องเที่ยวเป็นเหตุที่ทำให้เกิดสถานการณ์การระบาดโควิด-19 เพิ่มขึ้นแต่อย่างไร ดังนั้น การปรับมาตรการ จะช่วยลดภาระความยุ่งยากของทั้งเจ้าหน้าที่ และนักเดินทางในการเข้าประเทศ

"คณะกรรมการฯ จึงมีมติว่าเป็นสิ่งที่ไม่จำเป็นต้องมาเป็นส่วนหนึ่งของมาตรการ คณะกรรมการฯ ไม่ได้ตัดสินใจบนพื้นฐานเศรษฐกิจ แต่ใช้หลักวิชาการแพทย์เป็นตัวตัดสินใจด้วย จึงได้แจ้งมาที่กระทรวงสาธารณสสุข ซึ่งกระทรวงฯ จะได้ร่วมกับกระทรวงคมนาคม และกระทรวงท่องเที่ยวฯ ต้องชี้แจงออก NOTAM ซึ่งเป็นกฎระเบียบก่อนเข้าประเทศไทย ได้ทำเรียบร้อยแล้ว" นายอนุทิน ระบุ

ก่อนหน้านี้ ทางสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (กพท.) หรือ CAAT ได้ออกประกาศข้อกำหนดในการเข้าประเทศไทยสำหรับผู้โดยสารระหว่างประเทศ โดย 1 ในเงื่อนไข คือ ผู้โดยสารอายุมากกว่า 18 ปีต้องแสดงข้อมูลการได้รับวัคซีนครบ 2 เข็ม หรือจดหมายจากแพทย์ที่รับรองว่าหายจากโรคโควิด-19 แล้วไม่เกิน 6 เดือน (180 วัน) ส่วนผู้โดยสารที่ไม่ได้รับวัคซีนต้องมีจดหมายจากแพทย์พร้อมแสดงเหตุผล

จากข้อมูลการเฝ้าระวังสายพันธุ์ ที่ระบาดในจีน พบว่า 97% เป็นสายพันธุ์ BA.5.2 และสายพันธุ์ BF.7 ซึ่งไม่ได้เป็นสายพันธุ์ใหม่ และไม่ได้มีการแพร่เร็วกว่าสายพันธุ์ในประเทศไทย นอกจากนี้ พบว่า ข้อมูลการรับวัคซีนโควิด-19 ในประชาชนจีนรับวัคซีนครบ 2 เข็มและ 3 เข็มแล้วในสัดส่วนสูง (90.8% และ 57.9% ตามลำดับ)

อย่างไรก็ตาม นายอนุทิน ยังแนะนำให้นักเดินทางทุกคนฉีดวัคซีนให้ครบอย่างน้อย 2 เข็ม เพื่อป้องกันการป่วยหนักหากติดเชื้อระหว่างการเดินทาง และให้นักเดินทางซื้อประกันสุขภาพสุขภาพครอบคลุมการรักษาโควิด-19 ตลอดช่วงระยะเวลาเดินทางในประเทศไทย และบวกเพิ่มอีก 7 วัน กรณีที่ประเทศปลายทางกำหนดให้ผู้เดินทางมีผลตรวจเชื้อโควิด-19 ด้วย RT-PCR เป็นลบก่อนเดินทาง เพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพหากตรวจพบเชื้อหรือป่วย

นอกจากนี้ หากมีอาการป่วยทางเดินหายใจ ควรเลื่อนการเดินทางและรักษาให้หายก่อนเพื่อลดการแพร่โรค ส่วนมาตรการขณะพำนักในประเทศไทย แนะนำให้ผู้เดินทางป้องกันตนเองตลอดระยะเวลาที่อยู่ในประเทศ เช่น สวมหน้ากากเมื่ออยู่ในพื้นที่สาธารณะ/ ขนส่งสาธารณะ ล้างมือบ่อยๆ หากมีอาการทางเดินหายใจ ให้ตรวจคัดกรองด้วย Antigen Test Kit (ATK) และหากมีอาการป่วยรุนแรงขึ้น ให้ไปตรวจรักษาที่สถานพยาบาล

อย่างไรก็ดี จะมีการสื่อสารถึงนักเดินทาง เพื่อเพิ่มความตระหนักรู้ และเพิ่มความร่วมมือในการลดความเสี่ยงแพร่โรค พร้อมยืนยันว่า ระบบสาธารณสุขของไทยมีความพร้อมรองรับสถานการณ์ฉุกเฉิน และมีแผนเตรียมความพร้อมหากการระบาดของโรครุนแรงเพิ่มขึ้น

ส่วนประเทศที่ต้องการให้มีการตรวจ RT-PCR ก่อนกลับเข้าประเทศนั้น ก็จะต้องซื้อประกันสุขภาพก่อนเดินทางมาไทย เพราะหากก่อนกลับเข้าประเทศ มีการตรวจพบเชื้อโควิด-19 จะได้มีสถานพยาบาลรองรับ และไม่เป็นภาระต่องบประมาณของไทย

นอกจากนี้ กระทรวงสาธารณสุขได้มีการหารือกันเบื้องต้น เพื่อจัดระบบและกำหนดแนวทางการให้บริการวัคซีนโควิด-19 สำหรับนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่สนใจรับบริการ โดยให้สถานพยาบาลภาครัฐบาลจัดหน่วยฉีดเฉพาะจุดสำหรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ นำร่องในจังหวัดท่องเที่ยวขนาดใหญ่ ได้แก่ กทม. ภูเก็ต เชียงใหม่ พัทยา โดยคิดค่าบริการตามความเหมาะสม แต่สำหรับชาวต่างชาติที่อยู่เมืองไทยระยะยาว หรือมาประกอบอาชีพ ยังคงสามารถรับการฉีดวัคซีนโควิด โดยไม่มีค่าใช้จ่ายตามนโยบายการฉีดวัคซีนของรัฐเช่นเดิม

ขณะเดียวกัน ขอให้ประชาชนไทยทุกคนฉีดวัคซีนให้ครบ 4 เข็ม เพื่อการกระตุ้นภูมิคุ้มกันโรค ลดการป่วยหนักและลดการเสียชีวิต ทั้งนี้ ในช่วงไตรมาสแรกของปี 66 จะมีการติดตามและประเมินสถานการณ์ เพื่อปรับมาตรการตามสถานการณ์ความเสี่ยง โดยหลักพิจารณาจะคงคำนึงถึงหลักการเท่าเทียม ไม่เลือกปฏิบัติ ตั้งอยู่บนพื้นฐานด้านวิชาการ ความปลอดภัยสุขภาพ เศรษฐกิจ และสังคมเช่นเดิม


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ