นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาลโดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม ให้ความสำคัญกับทรัพยากรน้ำและกำหนดให้เป็นวาระแห่งชาติ โดยมีการกำหนดนโยบายวางแผนการบริการจัดการทรัพยากรน้ำของประเทศอย่างเป็นระบบครบวงจร ทำให้การขับเคลื่อนการบูรณาการการบริหารจัดการน้ำของภาครัฐในปัจจุบันมีความก้าวหน้าเป็นอย่างมากและมีผลงานเป็นที่ประจักษ์หลายด้าน
ทั้งการตั้งสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) เมื่อวันที่ 25 ตุลาคม 2560 เพื่อเป็นองค์กรกลางด้านน้ำ มีภารกิจครอบคลุมการบริหารจัดการน้ำทั้งระบบ และขับเคลื่อนการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำภายใต้ พ.ร.บ.ทรัพยากรน้ำ พ.ศ. 2561 และแผนแม่บททรัพยากรน้ำ 20 ปี ด้วยเทคโนโลยีสารสนเทศที่ทันสมัย พร้อมกับการยกระดับองค์ความรู้ผ่านทางความร่วมมือระหว่างประเทศ รวมไปถึงการปรับปรุงแผนแม่บทน้ำ การขับเคลื่อนโครงการสำคัญระดับประเทศ โดยผลักดันสู่คณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ หรือ กนช. ถึง 44 โครงการ การกำหนดมาตรการรองรับฤดูฝน ฤดูแล้ง การจัดทำกฎหมายลำดับรองที่แล้วเสร็จไป 25 ฉบับ การจัดตั้งคณะกรรมการลุ่มน้ำ การก่อตั้งองค์กรผู้ใช้น้ำ การจัดทำผังน้ำเสร็จไป 8 ลุ่มน้ำ เช่น ผังน้ำลุ่มน้ำชี มูล เจ้าพระยา และท่าจีน และอยู่ระหว่างดำเนินการอีก 6 โครงการ เช่น ผังน้ำลุ่มน้ำภาคใต้ฝั่งตะวันออกตอนบน การทำแอปพลิเคชันต่าง ๆ เช่น Thai water plan (TWP), Thai Water Assessment (TWA), National Thai water เป็นต้น
นายอนุชา กล่าวว่า นอกจากนี้ ยังมีการดำเนินการซึ่งมีความก้าวหน้าที่ใกล้เข้าสู่ความสำเร็จในหลายด้าน ทั้งด้านแผน เช่น ปรับปรุงกรอบแนวทางและค่าเป้าหมายแผนแม่บทน้ำ 20 ปี เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและการใช้ธรรมชาติเป็นฐาน ซึ่งแผนแม่บทที่ได้มา จะขยายผลไปในแผนแม่บทลุ่มน้ำที่จะเชื่อมโยงระดับพื้นที่ไปสู่แผนปฏิบัติการด้านบูรณาการจัดการน้ำ เช่น ใช้การบริหารจัดการน้ำแบบกลุ่มภูมิภาคและลุ่มน้ำ รวมถึงเน้นการป้องกันเชิงรุก
"การขับเคลื่อนมาตรการฤดูแล้ง ปี 64/65 ส่งผลให้มีการเพาะปลูกเกินแผนเพียง 1.69 ล้านไร่ เมื่อเทียบกับฤดูแล้ง ปี 63/64 ที่มีการเพาะปลูกเกินแผนมากกว่า 4.3 ล้านไร่ มูลค่าความเสียหายน้อยลง รวมถึงการป้องกันพื้นที่เศรษฐกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยปี 64/65 ไม่มีการประกาศพื้นที่ประสบภัยแล้ง" นายอนุชา กล่าว
พร้อมระบุว่า ภายใต้ความท้าทายของสภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลง รัฐบาลได้มีการติดตามสถานการณ์น้ำอย่างใกล้ชิด และมีความห่วงใยผลกระทบที่เกิดขึ้นกับประชาชน โดยเฉพาะสถานการณ์ปัจจุบัน ซึ่งยังคงมีน้ำท่วมขังในหลายพื้นที่นั้น นายกรัฐมนตรีก็ได้สั่งการให้ทุกหน่วยงานเร่งดำเนินการระบายน้ำให้กลับสู่สภาวะปกติโดยเร็ว พร้อมทั้งให้ความช่วยเหลือ ฟื้นฟู เยียวยา ประชาชนที่ได้รับผลกระทบอย่างเต็มที่ รวมทั้งให้ดำเนินการตาม 13 มาตรการรับมือฤดูฝน เพื่อเตรียมการเข้าสู่ฤดูฝนของพื้นที่ภาคใต้ด้วย
นายอนุชา กล่าวด้วยว่า แม้ว่าปีนี้จะมีปริมาณน้ำต้นทุนมากในทุกพื้นที่ และมีโอกาสเสี่ยงขาดแคลนน้ำน้อย นายกรัฐมนตรีก็ได้กำชับให้ทุกหน่วยงานดำเนินการตาม 10 มาตรการรองรับฤดูแล้ง ตามที่ กนช. ได้เห็นชอบแล้วอย่างเคร่งครัดอีกด้วย