จากกรณีที่สหรัฐฯ ซึ่งเป็นตลาดส่งออกหลักถุงมือยางของไทย ประกาศห้ามใช้ถุงมือยางธรรมชาติในอุตสาหกรรมการแพทย์และอุตสาหกรรมอาหารในระยะสั้น โดยมีการผ่านร่างกฎหมายห้ามใช้ถุงมือธรรมชาติในธุรกิจบริการอาหาร ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. 66 และอุตสาหกรรมการบริการทางการแพทย์ ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 ม.ค. 67
ปัจจุบันมี 8 รัฐในสหรัฐฯ ได้แก่ รัฐแอริโซนา รัฐแคลิฟอร์เนีย รัฐคอนเนกทิกัต รัฐฮาวาย รัฐโอไฮโอ รัฐโรดไอแลนด์ รัฐแมสซาชูเซตส์ และล่าสุด คือ รัฐอิลลินอยส์ ที่ห้ามใช้ถุงมือยางธรรมชาติ (Latex Gloves) ในอุตสาหกรรมธุรกิจบริการอาหารและอุตสาหกรรมการแพทย์ ซึ่งสร้างความกังวลต่อหลายภาคส่วนที่เกี่ยวข้องว่า จะกระทบต่อการส่งออกถุงมือยางของไทยแค่ไหน เนื่องจากสหรัฐเป็นตลาดส่งออกถุงมือยางอันดับ 1 ของไทย คิดเป็นสัดส่วนถึงราว 44% ของการส่งออกถุงมือยางทั้งหมด จึงมีคำถามที่น่าสนใจว่า ท่ามกลางแรงกดดันที่กล่าวมาข้างต้น การส่งออกถุงมือยางไทยยังไปต่อได้หรือไม่ รวมทั้งผู้ประกอบการไทยควรปรับตัวอย่างไร
สำหรับสาเหตุหลักที่หลายรัฐต่างออกกฎหมายห้ามใช้ถุงมือยางธรรมชาติ เนื่องจากมีข้อมูลบ่งชี้ว่า ผู้ใช้บางรายเกิดอาการแพ้แป้งในถุงมือยางธรรมชาติ (สาเหตุที่ถุงมือยางธรรมชาติส่วนใหญ่มีการเคลือบแป้ง เพื่อช่วยให้สวมใส่ได้ง่ายขึ้น) หรือบางรายมีอาการแพ้โปรตีนที่อยู่ในยางธรรมชาติ ส่งผลให้มีอาการระคายเคืองผิวหนัง ผื่นคล้ายลมพิษ มีน้ำมูกไหล ไอ จาม ระคายเคืองในคอ บางรายถึงกับมีอาการหายใจลำบาก หอบหืด และช็อกได้
ในปี 65 มูลค่าส่งออกถุงมือยางธรรมชาติและถุงมือยางสังเคราะห์ของไทยไปตลาดสหรัฐฯ อยู่ที่ 625 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หดตัว 55.4%YoY ซึ่งเป็นผลจากทั้งด้านราคาและปริมาณ โดยราคาส่งออกลดลง 40.2%YoY ตามทิศทางราคาถุงมือยางตลาดโลกที่ลดลง เนื่องจากอุปทานถุงมือยางในตลาดโลกที่เพิ่มขึ้นมาก จากการที่ผู้ประกอบการถุงมือยางรายใหญ่ของโลกเร่งขยายกำลังการผลิต ส่วนปริมาณส่งออกอยู่ที่ 6.7 ล้านคู่ หรือลดลง 25.5%YoY เนื่องจากความต้องการใช้ถุงมือยางของสหรัฐฯ ลดลงจากการระบาดของโควิด-19 ที่คลี่คลาย แต่ก็ยังถือเป็นระดับการส่งออกที่สูงกว่าในช่วงก่อนเกิดโควิด-19
ทั้งนี้ Krungthai COMPASS มองว่า กรณีที่สหรัฐฯ ซึ่งเป็นตลาด ส่งออกหลักถุงมือยางของไทยประกาศห้ามใช้ถุงมือยางธรรมชาติในอุตสาหกรรมการแพทย์และอุตสาหกรรมอาหารในระยะสั้นจะกระทบต่อการส่งออกถุงมือยางของไทยไม่มากนัก เนื่องจากจนถึงปัจจุบันมีการบังคับใช้กฎหมายนี้เพียง 8 จาก 50 รัฐ อย่างไรก็ตาม การห้ามนำเข้าถุงมือยางธรรมชาติในรัฐอื่นของสหรัฐฯ รวมทั้งในกลุ่มประเทศที่พัฒนาแล้วยังคงเป็นประเด็นต้องจับตาต่อไป
*ไทยส่งออกถุงมือยางธรรมชาติมากน้อยแค่ไหน?
เมื่อพิจารณาการส่งออกถุงมือยางธรรมชาติ ไทยส่งออกถุงมือยางธรรมชาติเป็นหลักคิดเป็นสัดส่วนราว 68% ของการส่งออกถุงมือยางทั้งหมดของไทย ที่เหลือเป็นถุงมือยางสังเคราะห์ โดยไทยมีสัดส่วนส่งออกถุงมือยางธรรมชาติไปยังสหรัฐคิดเป็น 58% ของการส่งออกถุงมือยางทั้งหมด (จากข้อมูลของกระทรวงพาณิชย์ พบว่า ในปี 2565 ไทยส่งออกถุงมือยางธรรมชาติไปสหรัฐฯ คิดเป็น 86% ของการส่งออกถุงมือยางธรรมชาติทั้งหมด) ซึ่งหากจำแนกตามอุตสาหกรรมที่ใช้ถุงมือยางในสหรัฐ ส่วนใหญ่ใช้ในอุตสาหกรรมการแพทย์คิดเป็นสัดส่วน 80% ของการนำเข้าถุงมือยางทั้งหมด ที่เหลือใช้ในอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม รวมทั้งอุตสาหกรรมการผลิต
*ผลกระทบต่อผู้ประกอบการกลุ่มไหนบ้าง?
Krungthai COMPASS ประเมินว่า มาตรการดังกล่าวจะกระทบต่อห่วงโซ่อุปทานยางพาราไทย ดังต่อไปนี้
1.ธุรกิจผลิตถุงมือยางธรรมชาติ เพราะผู้นำเข้าบางส่วนหันไปนำเข้าถุงมือยางประเภทอื่นมากขึ้น เช่น ถุงมือยางสังเคราะห์ อย่างไรก็ตามสำหรับตลาดส่งออกในสหรัฐฯ แม้จะเป็นตลาดส่งออกหลักของไทย แต่คาดว่าในระยะสั้นความรุนแรงของผลกระทบยังไม่มากนัก เนื่องจากเป็นการบังคับใช้กฎหมายเพียงบางรัฐ
Krungthai COMPASS ประเมินว่า ผลกระทบล่าสุด จากการที่รัฐอิลลินอยส์ผ่านร่างกฎหมายห้ามใช้ถุงมือธรรมชาติจะกระทบการส่งออกถุงมือยางธรรมชาติของไทยเท่ากับ 3.8 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือ 41.69 ล้านคู่ คิดเป็น 0.2% ของปริมาณส่งออกถุงมือยางทั้งหมดของไทย โดยวิธีการคำนวณจะประเมินจากความต้องการนำเข้าถุงมือยางสหรัฐฯ ทั้งหมดในปี 2566 ซึ่งคาดว่าจะอยู่ที่ 3,449 ล้านเหรียญสหรัฐ คูณด้วยสัดส่วนการประเมินเบื้องต้นว่าสหรัฐนำเข้าถุงมือยางธรรมชาติ สัดส่วน 21.3% ของการนำเข้าถุงมือยางทั้งหมด ถ้าคิดเฉพาะสัดส่วนของรัฐอิลลินอยส์ซึ่งมีประชากรราว 3.8% ของประชากรรวมในสหรัฐ จะกระทบมูลค่าการนำเข้าถุงมือยางธรรมชาติ เท่ากับ 27.85 ล้านเหรียญสหรัฐ และกำหนดให้ผลกระทบแต่ละประเทศที่ส่งออกถุงมือยางธรรมชาติไปสหรัฐ จะได้รับผลกระทบตามสัดส่วนตลาด ซึ่งไทยมีสัดส่วนตลาดในสหรัฐประมาณ 13.6% ที่เหลือเป็นการนำเข้าจากประเทศมาเลเซีย และจีน
ทั้งนี้จากข้อมูลของกระทรวงพาณิชย์ พบว่า ผู้ส่งออกถุงมือยางธรรมชาติ 10 อันดับแรก เป็นผู้ประกอบการสัญชาติไทยมากที่สุด (3 ราย) รองลงมาเป็นอินเดีย (2 ราย) จีน (2 ราย) ที่เหลือเป็นอเมริกา (1 ราย) ศรีลังกา (1 ราย) มาเลเซีย (1 ราย) อย่างไรก็ตาม ผลกระทบอาจมากน้อยแตกต่างกัน โดยผู้ประกอบรายใหญ่บางรายมีความสามารถในการปรับเปลี่ยนไปส่งออกถุงมือยางในกลุ่มไนไตรล์แทนได้ ซึ่งตลาดดังกล่าวไม่ได้รับผลกระทบจากมาตรการนี้ อีกทั้งบางรายมีการเพิ่มสัดส่วนรายได้ของการส่งออกถุงมือยางธรรมชาติที่ปราศจากแป้งบ้างแล้ว โดยถุงมือยางกลุ่มนี้เป็นการใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยในการเคลือบผิวสัมผัสภายในถุงมือยาง เพื่อให้สวมใส่ได้ง่ายโดยไม่ต้องใช้แป้ง
2. ธุรกิจผลิตน้ำยางข้น เนื่องจากผลผลิตน้ำยางข้นทั้งหมดที่ไทยผลิตเพื่อใช้ในประเทศในแต่ละปีใช้เป็นวัตถุดิบหลักในการผลิตถุงมือยางราว 44% (รูปที่ 5) ที่เหลือใช้ในอุตสาหกรรมการผลิตถุงยาง ยางรัดของ นอกจากนี้ ยังส่งผลกระทบต่อการส่งออกน้ำยางข้นไปในตลาดมาเลเซียซึ่งเป็นผู้ผลิตและส่งออกถุงมือยางธรรมชาติรายใหญ่ของโลก จากความต้องการใช้น้ำยางข้นของมาเลเซีย เพื่อเป็นวัตถุดิบในการผลิตถุงมือยางเพื่อส่งออกที่ลดลงจากการปรับเปลี่ยนไปใช้วัตถุดิบประเภทอื่นทดแทน
*ทิศทางในระยะข้างหน้าจะเป็นอย่างไร?
Krungthai COMPASS ประเมินว่า ในปี 2566-2567 มูลค่าส่งออกถุงมือยางรวม (ถุงมือยางธรรมชาติและถุงมือยางสังเคราะห์) จะอยู่ที่ 1,603 ล้านเหรียญสหรัฐ (56,909 ล้านบาท) และ 1,699 ล้านเหรียญสหรัฐ (56,927 ล้านบาท) หรือเพิ่มขึ้น 3.8%YoY และ 6.0%YoY ซึ่งเมื่อพิจารณาในด้านปริมาณส่งออกถุงมือยางคาดว่าจะอยู่ที่ 24.3 พันล้านคู่ และ 25.3.พันล้านคู่ ตามลำดับ เพิ่มขึ้น 5.7%YoY และ 4.3%YoY เนื่องจากความต้องการใช้ถุงมือยางในตลาดโลกที่ยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ตามความต้องการใช้ในอุตสาหกรรมการแพทย์ที่มีแนวโน้มเติบโต อีกทั้งถุงมือยางยังเป็นสินค้าจำเป็นในยุคที่ผู้บริโภคใส่ใจเรื่องสุขอนามัย รวมทั้งความต้องการใช้ในอุตสาหกรรมอาหารที่เพิ่มขึ้น เนื่องจากการให้ความสำคัญในเรื่องมาตรฐานการผลิตอาหารที่ถูกสุขลักษณะและความปลอดภัยของอาหาร
ขณะที่ราคาส่งออกถุงมือยางในปี 2566 จะอยู่ที่ 66.0 เหรียญสหรัฐต่อพันคู่ หรือลดลง 1.5%YoY จาก 67.1 ในปี 2565 และในปี 2567 ราคาส่งออกจะอยู่ที่ 67.1 เหรียญสหรัฐต่อพันคู่ หรือเพิ่มขึ้น 1.6%YoY ตามลำดับ โดยราคาที่ลดลงในปี 2566 เกิดจากอุปทานส่วนเกินในช่วงที่มีการเร่งขยายกำลังการผลิตในช่วงการระบาดของ COVID-19 ส่วนในปี 2567 คาดว่าปัญหาอุปทานถุงมือยางส่วนเกินจะเริ่มคลี่คลายจากการผลิตและความต้องการใช้ถุงมือยางโลกที่เริ่มเข้าสู่ภาวะสมดุล (รูปที่ 6) ส่งผลให้ราคาส่งออกถุงมือยางกลับมามีเสถียรภาพมากขึ้นอยู่ที่เฉลี่ย 67.1 เหรียญสหรัฐต่อพันคู่ (รูปที่ 7) อย่างไรก็ตาม ในระยะข้างหน้ายังต้องจับตามาตรการห้ามนำเข้าถุงมือยางธรรมชาติในรัฐอื่นของสหรัฐ รวมทั้งในกลุ่มประเทศที่พัฒนาแล้วที่ให้ความสำคัญกับมาตรฐานความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์ค่อนข้างมาก
*ข้อแนะนำผู้ประกอบการผลิตถุงมือยาง
- วิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ สำหรับผู้ที่แพ้ถุงมือยางธรรมชาติ โดยปัจจุบันมีผู้ประกอบการรายใหญ่ที่มีศักยภาพทั้งในประเทศและต่างประเทศ มีการทำตลาดในสินค้ากลุ่มนี้แล้ว เช่น บมจ.ศรีตรังโกลฟส์ (ประเทศไทย) หรือบริษัท Top Glove ของมาเลเซีย
- ขยายตลาดส่งออกใหม่ที่มีศักยภาพ โดยเฉพาะในกลุ่มประเทศกำลังพัฒนาที่ความต้องการใช้ถุงมือยางยังเติบโตได้อีกมาก เนื่องจากมีสัดส่วนการใช้ถุงมือยางต่อประชากรในระดับต่ำ เช่น จีน อินเดีย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ โดยกลุ่มประเทศเหล่านี้มีความต้องการใช้ถุงมือยางของประชากรอยู่ที่เพียง 6-14 ชิ้นต่อคนต่อปี ต่ำกว่าประเทศที่พัฒนาแล้วซึ่งมีความต้องการใช้ถุงมือยางอยู่ที่ 133-300 ชิ้นต่อคนต่อปี และโดยเฉพาะในตลาดจีน ซึ่งเป็นตลาดที่มีขนาดใหญ่และเป็นตลาดส่งออกถุงมือยางอันดับ 2 ของไทยรองจากสหรัฐฯ โดยจากข้อมูลของ Arizton (2022) คาดว่าในปี 65-70 ความต้องการใช้ถุงมือยางของจีนมีจะขยายตัวเฉลี่ยถึงปีละ 9.6% CAGR
- ภาครัฐควรสร้างความร่วมมือกับหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องในการต่อยอดไปในกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม เช่น การยางแห่งประเทศไทย (กยท.) ที่ร่วมมือกับคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ในการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับน้ำยางข้น โดยผลิตอุปกรณ์ฝึกสอนการเย็บแผลที่ผลิตจากยางพารา 100% หรือการที่กยท. ร่วมมือกับหน่วยงานที่มีความเชี่ยวชาญในการพัฒนาแผ่นรองพื้นรองเท้าเพื่อสุขภาพที่ผลิตจากยางพารา 100% เป็นต้น