นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) กล่าวถึงกรณีที่มีแฮกเกอร์รายหนึ่ง อ้างว่าสามารถแฮกข้อมูลส่วนบุคคลของคนไทยได้จำนวน 55 ล้านรายว่า กระทรวงฯ ได้ใช้อำนาจตามกฎหมาย โดยอยู่ระหว่างทำการตรวจสอบ ซึ่งจากการตรวจสอบเบื้องต้น พบมีช่องทางการสื่อสารจริง แต่ไม่มีข้อมูลที่มีความละเอียดอ่อนของประชาชน เช่น ประวัติการรักษาพยาบาล สำหรับแรงจูงใจของผู้กระทำความผิด คาดว่าต้องการเงินจากการเรียกค่าไถ่ข้อมูล นำข้อมูลไปขาย และแบล็กเมล์
ทั้งนี้ กระทรวงฯ ได้ติดต่อไปยังผู้ให้บริการโดเมนเว็บไซต์ 9 near แต่ยังไม่สามารถปิดเว็บไซต์ได้ เนื่องจากผู้ให้บริการอยู่ในต่างประเทศ
อย่างไรก็ดี กระทรวงฯ ได้ประสานกับสำนักงานคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล สำนักงานการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) แล้ว กระทรวงฯ จะติดตามและดำเนินคดีตามกฎหมาย โดยการกระทำความผิดครั้งนี้ขัดต่อ พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดทางคอมพิวเตอร์, พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล และ พ.ร.ก.ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีส่วนบุคคล มีโทษปรับและจำคุก 1-5 ปี
"กระทรวงฯ ได้ประสานไปที่ผู้ให้บริการโดเมนตั้งแต่วันที่ 29 มี.ค. เพื่อขอปิด แต่ยังไม่ได้มีการปิดเพราะอยู่ต่างประเทศ ทั้งนี้ จากการตามรอย SMS เหมือนมาจากต่างประเทศ แต่น่าจะอยู่ในประเทศไทย ซึ่งก็จะพยายามจับกุมคนร้ายให้ได้ ในส่วนของผู้เก็บข้อมูล ถ้ามีการประมาทเลินเล่อ ทำให้ข้อมูลรั่วไหลก็มีความผิดเช่นกัน" นายชัยวุฒิ กล่าว
นายชัยวุฒิ กล่าวว่า ขณะนี้อยู่ระหว่างสอบสวนว่า ข้อมูลรั่วไหลมาจากหน่วยงานใด และมีข้อมูลเท่าไร ซึ่งจากการตรวจสอบหน่วยงานรัฐและเอกชน ไม่มีหน่วยงานใดที่มีข้อมูลจำนวนมากถึง 55 ล้านคน ยกเว้นกรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย ซึ่งมีการตรวจสอบยืนยันแล้วว่า ข้อมูลบัตรประชาชนไม่ได้รั่วไหล และมีระบบมาตรฐานสากล
ทั้งนี้ ขอให้ประชาชนที่เป็นผู้เสียหาย มีชื่อ หรือข้อมูลหลุดออกไป มาแจ้งความดำเนินคดี โดยเคสนี้มีการแจ้งความดำเนินคดีจากประชาชนแล้วประมาณ 20 ราย แต่ยังไม่มีความเสียหายใดๆ เกิดขึ้น
"คาดว่าข้อมูลที่รั่วน่าจะมาจากหน่วยงานที่ประชาชนมาติดต่อ เป็นลูกค้า เป็นระบบที่พัฒนาขึ้นมาใหม่ๆ ซึ่งอาจยังไม่มีความชำนาญ หรือยังไม่มีความพร้อมเรื่องไซเบอร์ซิเคียวลิตี้ จึงอาจก่อให้เกิดข้อมูลรั่วไหลได้ ซึ่งก็ต้องมีการพัฒนาระบบต่อไป หน่วยงานที่เกี่ยวข้องก็จะช่วยลงไปดูทั้งภาครัฐและอกชน ช่วยปรับปรุงไม่ให้มีช่องโหว่" นายชัยวุฒิ กล่าว