นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ติดตามสถานการณ์ภัยแล้งใกล้ชิด หลังมีพื้นที่ประกาศเขตการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉินแล้ว 1 อำเภอ คือ อำเภอเกาะสีชัง จังหวัดชลบุรี ซึ่งเป็นการประกาศเขตภัยแล้งจังหวัดแรกในรอบปี 2566
นายกฯ จึงได้สั่งการและเน้นย้ำให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) กองอำนวยการน้ำแห่งชาติ (กอนช.) ผู้ว่าราชการจังหวัดในพื้นที่ที่ประสบภัยแล้ง และผู้ว่าราชการจังหวัดอื่นๆ เฝ้าติดตามสถานการณ์ภัยแล้งอย่างใกล้ชิดในช่วงเวลาที่เหลือ โดยเฉพาะในช่วงเดือนเม.ย. ของทุกปี ที่หลายพื้นที่อาจเกิดสถานการณ์ขาดแคลนน้ำได้
ทั้งนี้ ได้ขอให้ทุกพื้นที่เตรียมการความพร้อมในทุกด้าน ทั้งเจ้าหน้าที่และอุปกรณ์เครื่องมือต่างๆ รองรับสถานการณ์ภัยแล้งและพื้นที่เสี่ยงขาดแคลนน้ำเพิ่ม ทั้งน้ำอุปโภค บริโภค และพื้นที่เกษตร พร้อมขอให้ทุกจังหวัดเร่งประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้ให้กับประชาชน ในการใช้น้ำอย่างรู้คุณค่าเกิดประโยชน์สูงสุด และประหยัดน้ำต่อเนื่อง เพื่อให้มีน้ำไว้ใช้อย่างเพียงพอในช่วงฤดูแล้งนี้
พร้อมกันนี้ นายกฯ ยังได้ติดตามสถานการณ์พื้นที่เฝ้าระวังเสี่ยงขาดแคลนน้ำด้านอุปโภคบริโภค ในเขตการประปาส่วนภูมิภาค (กปภ.) 16 สาขา 14 จังหวัด ซึ่งล่าสุดพบว่า มี 1 สาขา เริ่มได้รับผลกระทบแนวโน้มน้ำดิบสำหรับผลิตประปาไม่เพียงพอ คือ สาขาสว่างแดนดิน (หน่วยบริการหนองหาน) อ.หนองหาน จ.อุดรธานี
อย่างไรก็ดี ขณะนี้การประปาภูมิภาคสาขาสว่างแดนดิน ได้จัดหาแหล่งน้ำสำรองในพื้นที่ 3 แห่ง ได้แก่ หนองเสวย หนองบ่อ และหนองสระคาม เป็นแหล่งน้ำใช้ผลิตประปา ซึ่งจะสามารถจ่ายน้ำได้ถึงวันที่ 10 มิ.ย. นี้ รวมทั้ง สทนช. ได้เร่งประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้ให้ประชาชนในพื้นที่ได้ประหยัดการใช้น้ำอย่างต่อเนื่องต่อไป
นอกจากนี้ ได้ให้สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติภาค 1-4 ประสานติดตามสอบถามหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ที่มีความเสี่ยงขาดแคลนน้ำเพิ่มเติมจากที่ได้ชี้เป้าพื้นที่เฝ้าระวังไว้เดิม ประกอบด้วย 4 พื้นที่หลัก ซึ่งมีแผนเตรียมการป้องกันไว้ล่วงหน้าแล้ว ได้แก่
1. พื้นที่เสี่ยงขาดแคลนน้ำผลิตน้ำประปา จำนวน 3 ตำบล 3 อำเภอ 2 จังหวัด ในเขต จ.เชียงราย และ จ.เพชรบูรณ์ องค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) ได้นำรถบรรทุกน้ำแจกจ่ายให้กับประชาชน และเติมน้ำในบ่อพักน้ำประปาหมู่บ้านเรียบร้อยแล้ว
2. พื้นที่เสี่ยงขาดแคลนน้ำด้านการเกษตรนอกเขตชลประทาน จำนวน 2 ตำบล 2 อำเภอ 2 จังหวัด ได้แก่ จ.นครนายก และ จ.ปราจีนบุรี เนื่องจากในช่วงฤดูแล้งมักประสบปัญหาน้ำเค็มทำให้ขาดแคลนน้ำจืดในพื้นที่ ซึ่งกรมชลประทานได้มีการบริหารจัดการน้ำในแม่น้ำนครนายก และแม่น้ำปราจีนบุรี ตามจังหวะน้ำทะเลขึ้น-ลง เพื่อให้ประชาชนได้รับผลกระทบน้อยที่สุด
3. พื้นที่เสี่ยงขาดแคลนน้ำสำหรับไม้ผลที่มีมูลค่าทางเศรษฐกิจ จำนวน 6 ตำบล 4 อำเภอ 3 จังหวัด ได้แก่ จ.จันทบุรี จ.บุรีรัมย์ และ จ.สุรินทร์ ซึ่ง อบต.ได้นำรถบรรทุกน้ำแจกจ่ายและเติมน้ำในสระให้กับประชาชน
4. พื้นที่ที่มีความเสี่ยงด้านคุณภาพน้ำ (น้ำเค็ม) ในเขตการประปาส่วนภูมิภาคสาขาบางปะกง และสาขาบางคล้า มีการรับน้ำดิบจากสาขาข้างเคียง จากการประปานครหลวงและจากเอกชน
อย่างไรก็ตาม กอนช. จะยังคงติดตามสถานการณ์น้ำ เพื่อเฝ้าระวังผลกระทบจากสถานการณ์ในช่วงแล้งที่ยังเหลืออีกประมาณ 2 เดือนนี้อย่างใกล้ชิด เพื่อป้องกันปัญหาการขาดแคลนน้ำในทุกภาคส่วนอย่างเข้มข้นต่อเนื่อง ซึ่งเป็นไปตามนโยบายของรัฐบาลที่มุ่งหวังให้ประชาชนได้รับผลกระทบจากภัยแล้งให้น้อยที่สุด
สำหรับพื้นที่เฝ้าระวังเสี่ยงขาดแคลนน้ำ นอกเขต กปภ. หรือประปาท้องถิ่น 136 ตำบล 54 อำเภอ 20 จังหวัด ยังไม่พบพื้นที่ประสบปัญหาขาดแคลนน้ำแต่อย่างใด
"นายกฯ ขอบคุณทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและผู้ว่าราชการจังหวัดชลบุรี ที่ร่วมมือกันเร่งดำเนินการลดผลกระทบประชาชนจากเหตุประสบปัญหาขาดแคลนน้ำอุปโภค บริโภค และพื้นที่เกษตร ในพื้นที่หมูที่ 1-7 ตำบลท่าเทววงษ์ อำเภอเกาะสีชัง จังหวัดชลบุรี รวมถึงสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดชลบุรี ที่กำลังดำเนินการจัดซื้อน้ำดื่มแจกจ่ายให้กับประชาชนโดยเร่งด่วนแล้ว ตลอดจน กอนช. ที่ได้ประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะหน่วยทหาร จังหวัด ท้องถิ่น โครงการชลประทาน สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดในพื้นที่ เข้าไปเร่งให้ความช่วยเหลือประชาชนเพิ่มเติมด้วยเช่นกัน" นายอนุชา กล่าว