นพ.รุ่งเรือง กิจผาติ หัวหน้าที่ปรึกษาฯ และโฆษกกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ในฐานะประธานคณะกรรมการ MIU (MOPH Intelligence Unit) เปิดเผยว่า ปัจจุบันประเทศไทยได้เข้าสู่สังคมสูงอายุอย่างเต็มรูปแบบ โดยมีผู้อายุ 60 ปีขึ้นไปกว่า 11 ล้านคน คิดเป็น 18% ของประชากรทั้งหมด ซึ่งส่วนใหญ่เกิดปัญหาภาวะสมองเสื่อม (dementia) มีความเสื่อมถอยในด้านความจำ สมาธิ มีอาการหลงลืม ส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตประจำวัน ขณะที่มีข้อมูลเกี่ยวกับสมุนไพร "พรมมิ" ในตำราอายุเวทของอินเดียใช้เป็นสมุนไพรเพิ่มความจำ บำรุงสมอง และมีรายงานวิจัยในเด็กวัยเรียนที่ได้รับยาน้ำเชื่อม "พรมมิ" มีการเรียนรู้ ความจำ ความเข้าใจที่ดีขึ้น ส่วนผู้ใหญ่ที่มีภาวะวิตกกังวลจะมีอาการลดลง มีสมาธิดีขึ้น ดังนั้นจึงมีผู้คิดค้นและวิจัยการนำสมุนไพร "พรมมิ" มาประกอบในเมนูอาหารบำรุงสุขภาพผู้สูงอายุ
โดยคณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยราชภัฏวไลยอลงกรณ์ ได้ทำการวิจัยพัฒนาตำรับอาหารเพื่อสุขภาพจากสมุนไพร "พรมมิ" สำหรับผู้สูงอายุ และได้รับการตีพิมพ์ในวารสารวิชาการสาธารณสุข โดยปรับปรุงสูตรอาหารให้เป็นเมนูเพื่อสุขภาพ 3 ประเภท ประกอบด้วย ต้ม/แกง, ผัด/ทอด และตุ๋น/นึ่ง/ลวก รวม 20 รายการ ได้แก่ ต้มเลือดหมู, ต้มข่าไก่, ต้มยำปลากะพงน้ำใส, ข้าวต้มหมูสับ, แกงป่า, แกงจืด, แกงจืดมะระยัดไส้, แกงส้ม, แกงเห็ด, แกงเลียง, ข้าวผัด, อกไก่ผัดขิง, คะน้าผัดน้ำมันหอย, ปลากะพงผัดขึ้นฉ่าย, ผัดบวบ, ผัดผักรวม, ทอดมัน, ผัดดอกกุยช่าย, ไข่ตุ๋นกุ้งสับ และไก่อบวุ้นเส้น โดยเติมผัก "พรมมิ" สดลงไปเมนูละ 150 กรัม
ผลศึกษาในอาสาสมัครผู้สูงวัยชายและหญิงอายุ 60-80 ปีที่ไม่มีโรคประจำตัว ไม่มีปัญหาการขบเคี้ยวในจังหวัดปทุมธานี จำนวน 30 คน พบว่า ทุกเมนูมีคุณค่าทางโภชนาการอยู่ในเกณฑ์เมนูชูสุขภาพของสำนักโภชนาการ กรมอนามัย คือ มีค่าพลังงานน้อยกว่าหรือเท่ากับ 600 กิโลแคลอรี, ไขมันน้อยกว่าหรือเท่ากับ 10 กรัม, โซเดียมน้อยกว่าหรือเท่ากับ 600 มิลลิกรัม โดยอาสาสมัครมีความชอบต่อเมนูอาหารจาก "พรมมิ" ในด้านสีสันมากที่สุด ตามด้วยลักษณะ รสชาติ และกลิ่น ตามลำดับ เนื่องจากการเพิ่ม "พรมมิ" ลงไปในเมนูอาหารประเภทต้ม/แกง และผัด/ทอด ทำให้สีสันและลักษณะที่ปรากฏดูน่ารับประทานยิ่งขึ้นจึงสามารถใช้เป็นแนวทางในการจัดอาหารเพื่อสุขภาพสำหรับผู้สูงอายุได้อย่างดี