กระทรวงสาธารณสุข เปิดกิจกรรมรณรงค์กลุ่มเสี่ยงฉีด "วัคซีนคู่สู้หน้าฝน" คือ วัคซีนไข้หวัดใหญ่ และวัคซีนโควิด-19 เพิ่มภูมิคุ้มกันโรคก่อนที่จะเข้าระยะการระบาดในช่วงฤดูฝนนี้ ช่วยลดอาการป่วยรุนแรงและเสียชีวิต พร้อมให้ สธ. ร่วมกับ สปสช. เร่งจัดซื้อวัคซีนไข้หวัดใหญ่เพิ่มอีก 8.6 แสนโดส
นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรมว.สาธารณสุข (สธ.) เป็นประธานเปิดกิจกรรม World Immunization Week: 2023 Vaccine for Everyone "Episode II: วัคซีนคู่ สู้หน้าฝน (Dual Immunity)"
นายอนุทิน กล่าวว่า ตลอดเวลากว่า 40 ปี ประเทศไทยได้ใช้วัคซีนเป็นเครื่องมือสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรคให้แก่ประชากรกลุ่มเป้าหมาย เพื่อป้องกัน ควบคุม ลดการป่วยรุนแรงและสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ เช่นเดียวกับประเทศต่างๆ ทั่วโลก โดยเฉพาะในช่วงการระบาดของโรคโควิด-19 การฉีดวัคซีนถือเป็นมาตรการสำคัญที่ทำให้ทุกประเทศผ่านพ้นวิกฤตการณ์มาได้
อย่างไรก็ตาม ช่วงเทศกาลสงกรานต์ที่ผ่านมา มีการจัดกิจกรรมในหลายพื้นที่ ทำให้มีแนวโน้มพบผู้ป่วยและผู้เสียชีวิตจากโรคโควิด-19 เพิ่มขึ้น ประกอบกับข้อมูลทางระบาดวิทยาคาดการณ์ว่าโรคโควิด-19 และไข้หวัดใหญ่ จะแพร่ระบาดเพิ่มขึ้นในฤดูฝน ซึ่งกลุ่มเสี่ยงที่ยังไม่ได้รับวัคซีน หรือไม่ได้รับเข็มกระตุ้นจะมีความเสี่ยงป่วยหนักและเสียชีวิตได้
ดังนั้น ขอเชิญชวนกลุ่มเป้าหมายตามเกณฑ์เข้ารับวัคซีนไข้หวัดใหญ่ และวัคซีนโควิด-19 เป็นวัคซีนประจำปี เพื่อเพิ่มภูมิคุ้มกัน ลดการป่วยหนักและเสียชีวิต ส่งผลดีทั้งต่อสุขภาพของตนเอง ป้องกันคนในชุมชน รวมถึงเป็นการรักษาระบบสาธารณสุขและเศรษฐกิจของประเทศอีกด้วย
ทั้งนี้ ข้อมูลทางการแพทย์ยืนยันว่าสามารถฉีดวัคซีนทั้ง 2 ชนิดพร้อมกันได้ ไม่มีข้อจำกัดในเรื่องของระยะห่าง ทำให้สะดวกต่อการมารับบริการในครั้งเดียว
นายอนุทิน กล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุข ขอให้บุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุข และประชาชนกลุ่มเสี่ยง 608 (ผู้สูงอายุ 65 ปีขึ้นไป ผู้มีโรคเรื้อรัง หญิงตั้งครรภ์) และกลุ่มเสี่ยงอื่นๆ ตามเกณฑ์ เข้ารับการฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ และวัคซีนโควิด-19 ก่อนเข้าฤดูฝน
"ยืนยันว่า การฉีดวัคซีนทั้ง 2 ชนิด มีความปลอดภัยสูง การศึกษาวิจัยของต่างประเทศ ไม่พบผลข้างเคียงเพิ่มขึ้นจากการฉีดพร้อมกัน ซึ่งหลายประเทศในยุโรป อาทิ สหราชอาณาจักร ดำเนินการมาตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว" นายอนุทิน กล่าว
นายอนุทิน กล่าวต่อว่า เพื่อเป็นการรณรงค์เชิญชวนให้กลุ่มเสี่ยงมารับวัคซีนทั้ง 2 ชนิด กระทรวงสาธารณสุขจึงจัดกิจกรรมดังกล่าวขึ้น เพื่อกระตุ้นให้กลุ่มเป้าหมายตระหนักถึงความสำคัญของการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรค และเข้ารับวัคซีนป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ควบคู่กับวัคซีนโควิด-19 ก่อนเข้าสู่ฤดูฝน โดยสามารถเข้ารับบริการได้ที่สถานพยาบาลใกล้บ้าน ซึ่งได้จัดเตรียมวัคซีนโควิด-19 ไว้อย่างเพียงพอ
ส่วนวัคซีนไข้หวัดใหญ่ กระทรวงสาธารณสุขมุ่งหวังให้กลุ่มเสี่ยงได้รับการฉีดครอบคลุมมากขึ้น จึงได้ปรับลดค่าบริการฉีดวัคซีนจาก 60 บาท เหลือ 20 บาท/ครั้ง เพื่อให้สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) นำเงินค่าบริการส่วนนี้ไปปรับเป็นงบประมาณจัดซื้อวัคซีนไข้หวัดใหญ่เพิ่มเติม ช่วยประหยัดงบประมาณ
ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 1 พ.ค. 66 บอร์ด สปสช. ได้มีมติเห็นชอบให้จัดซื้อวัคซีนไข้หวัดใหญ่เพิ่มอีก 8.6 แสนโดส เมื่อรวมกับวัคซีนที่ สปสช. จัดซื้อสำหรับ 7 กลุ่มเสี่ยงปีนี้ 4.4 ล้านโดส จะมีวัคซีนไข้หวัดใหญ่ให้บริการทั้งสิ้น 5.26 ล้านโดส
ด้าน นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า ในปีนี้ กระทรวงสาธารณสุขมีนโยบายเร่งรัดติดตามให้กลุ่มเป้าหมายทุกช่วงวัยได้รับวัคซีนครบถ้วนตามเกณฑ์ เพื่อยกระดับภูมิคุ้มกันหมู่ของประเทศให้สูงเพียงพอต่อการป้องกันโรค โดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยงสูงต่อภาวะป่วยหนักและเสียชีวิต จากโรคไข้หวัดใหญ่ และโรคโควิด-19 ที่คาดว่าจะมีการระบาดเพิ่มสูงขึ้นในช่วงฤดูฝน
ดังนั้น การสร้างเสริมภูมิคุ้มกันทั้ง 2 โรคควบคู่กันจึงเป็นอีกหนึ่งมาตรการสำคัญ ที่จะช่วยปกป้องกลุ่มเสี่ยงและคนรอบข้างได้ การจัดกิจกรรมในวันนี้ จึงเน้นการสื่อสารภายใต้กรอบแนวคิด "วัคซีนคู่ สู้หน้าฝน" เพื่อให้ประชาชนโดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยง ตระหนักและมารับวัคซีนทั้ง 2 ชนิด ช่วยลดความรุนแรง และลดการเสียชีวิต