นพ.ศุภกิจ ศิริลักษณ์ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) อัพเดทสถานการณ์การเฝ้าระวังสายพันธุ์โควิด-19 และสายพันธุ์ที่เฝ้าติดตามในประเทศไทย โดยกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ร่วมกับเครือข่ายห้องปฏิบัติการ ติดตามการเปลี่ยนแปลงสายพันธุ์เชื้อไวรัส SARS-CoV-2 อย่างต่อเนื่อง
ปัจจุบัน องค์การอนามัยโลก ให้ความสำคัญกับการติดตามโอมิครอน จำนวน 9 สายพันธุ์ จากพื้นฐานของข้อมูลการเพิ่มความชุกหรือความได้เปรียบด้านอัตราการเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับสายพันธุ์อื่นๆ และการกลายพันธุ์ในตำแหน่งที่เกี่ยวข้องกับการได้เปรียบในการก่อโรค ได้แก่
1. สายพันธุ์ที่เฝ้าระวัง (Variants of Interest: VOI) 2 สายพันธุ์ ได้แก่ XBB.1.5* และ XBB.1.16*
2. สายพันธุ์ที่ต้องจับตามอง (Variants under monitoring: VUM) 7 สายพันธุ์ ได้แก่ BQ.1*, BA.2.75*, CH.1.1*, XBB*, XBB.1.9.1*, XBB.1.9.2* และ XBB.2.3*
สำหรับสถานการณ์สายพันธุ์เชื้อ SARS-CoV-2 ทั่วโลก อ้างอิงจากฐานข้อมูลกลาง GISAID ในรอบสัปดาห์ 8-14 พ.ค. 66 พบสัดส่วนเพิ่มขึ้น/ ลดลงจากรอบสัปดาห์ 10-16 เม.ย. 66 ดังนี้
- XBB.1.5* รายงานจาก 115 ประเทศ คิดเป็น 34.04% ลดลงจาก 49.07%
- XBB.1.16* รายงานจาก 61 ประเทศ คิดเป็น 16.32% เพิ่มขึ้นจาก 8.78%
- XBB*, XBB.1.9.1*, XBB.1.9.2* และ XBB.2.3 มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น
- BA.2.75*, CH.1.1* และ BQ.1* มีแนวโน้มลดลง
สำหรับสถานการณ์โดยรวมของประเทศไทย พบสายพันธุ์ลูกผสมเพิ่มขึ้นต่อเนื่องแทนที่สายพันธุ์ BN.1* ที่เคยเป็นสายพันธุ์หลักที่ระบาดในไทยตั้งแต่ช่วงสิ้นปี 65 และพบในทุกเขตสุขภาพ ข้อมูลจากฐานข้อมูลกลาง GISAID ตั้งแต่เริ่มพบสายพันธุ์ XBB.1.16 เมื่อเดือนเม.ย. 66 ปัจจุบัน XBB.1.16* เป็นสายพันธุ์ที่พบสัดส่วนมากที่สุด คิดเป็น 30.34% รองลงมาคือสายพันธุ์ XBB.1.9* คิดเป็น 26.59% และสายพันธุ์ XBB.1.5* คิดเป็น 20.96%
ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา ระหว่างวันที่ 29 พ.ค.-4 มิ.ย. 66 ผลการถอดรหัสพันธุกรรมเชื้อก่อโรคโควิด-19 จำนวน 185 ราย พบเป็นสายพันธุ์ลูกผสม 169 ราย คิดเป็น 91.35% โดยพบผู้ติดเชื้อกระจายทุกเขตสุขภาพ สัดส่วนสายพันธุ์ที่ตรวจในสัปดาห์นี้สามอันดับแรก ได้แก่ สายพันธุ์ลูกผสม XBB.1.16* XBB.1.9.1* และ XBB.1.5* คิดเป็น 35.68%, 20.00% และ 11.35% ตามลำดับ
ส่วนสายพันธุ์ XBB.2.3* องค์การอนามัยโลกประกาศเป็นสายพันธุ์ที่ต้องเฝ้าติดตาม (VUMs) เพิ่มเติม เมื่อวันที่ 18 พ.ค. 66 เป็นสายพันธุ์ลูกผสมของโอมิครอน BA.2.10.1 และ BA.2.75 ที่กลายพันธุ์เพิ่มเติมบนโปรตีนหนาม S:T478K เหมือนกับสายพันธุ์เดลตา มีความสามารถในการหลบภูมิคุ้มกันได้ดี แต่ยังไม่มีหลักฐานที่แสดงถึงความได้เปรียบในการเติบโตแพร่ระบาด พบรายงานจาก 54 ประเทศทั่วโลก จำนวน 7,664 ราย (ข้อมูล ณ วันที่ 6 มิ.ย. 66)
สำหรับประเทศไทย พบแล้วจำนวน 60 ราย รายงานครั้งแรกในช่วงเดือนมี.ค. 66 ปัจจุบันยังไม่มีหลักฐานแสดงว่าสายพันธุ์ดังกล่าว ส่งผลต่อความรุนแรงของโรค
"แม้สถานการณ์ปัจจุบันของประเทศไทย พบผู้ติดเชื้อสายพันธุ์ลูกผสมเป็นสายพันธุ์หลักกระจายทุกเขตสุขภาพ การตรวจวินิจฉัยโรคโควิด-19 ด้วยชุดทดสอบ Antigen Test Kit (ATK) และการตรวจทางห้องปฏิบัติการด้วยวิธี Real-time PCR ยังสามารถใช้ตรวจการติดเชื้อไวรัสก่อโรคโควิด-19 ครอบคลุมทุกสายพันธุ์ ซึ่งรวมถึงสายพันธุ์โอมิครอน และสายพันธุ์ลูกผสม" นพ.ศุภกิจ กล่าว
อย่างไรก็ตาม ขอประชาชนให้ความสำคัญในการดูแลตัวเอง เข้ารับการฉีดวัคซีน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มเปราะบางหรือกลุ่มเสี่ยง 608 (ผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป ผู้ป่วยโรคเรื้อรัง และสตรีมีครรภ์) เพื่อป้องกันตนเองรวมถึงช่วยลดความรุนแรงของโรคหากได้รับเชื้อ ทั้งนี้ กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ยังคงเฝ้าระวังการเปลี่ยนแปลงสายพันธุ์ของเชื้อก่อโรคโควิด-19 อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในรายที่มีอาการรุนแรง หรือเสียชีวิต