กระทรวงสาธารณสุข เผย สถานการณ์โควิด-19 ในไทยแนวโน้มลดลง แต่ผู้เสียชีวิตเกือบทั้งหมดเป็นผู้สูงอายุ 70 ปีขึ้นไป และยังไม่ได้รับวัคซีน ย้ำประชาชนยังต้องป้องกันตนเองต่อเนื่อง และพากลุ่ม 608 ไปฉีดวัคซีนโควิด-19 ประจำปี พร้อมวัคซีนไข้หวัดใหญ่ รวมถึงเด็กเล็ก 6 เดือน-5 ปี ที่ยังไม่เคยฉีดวัคซีน
นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เปิดเผยภายหลังเป็นประธานการประชุมติดตามสถานการณ์กรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ว่า สถานการณ์โรคโควิด-19 ทั่วโลกรอบเดือนที่ผ่านมา มีแนวโน้มพบผู้ติดเชื้อและผู้เสียชีวิตลดลงอย่างต่อเนื่อง เช่นเดียวกับประเทศไทย โดยสัปดาห์ที่ผ่านมา ผู้ป่วยที่เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล และผู้เสียชีวิตลดลง รวมทั้งพบการระบาดเป็นกลุ่มก้อนลดลงด้วย
อย่างไรก็ดี ยังมีสิ่งที่น่าเป็นห่วงคือ ผู้เสียชีวิตเกือบทั้งหมดเป็นกลุ่ม 608 (ผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป ผู้ป่วยโรคเรื้อรัง และสตรีมีครรภ์) โดยเฉพาะผู้สูงอายุ 70 ปีขึ้นไป และยังไม่ได้ฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19
ดังนั้น จึงขอให้ประชาชนยังคงมาตรการป้องกันตนเอง เมื่อเข้าไปอยู่ในพื้นที่เสี่ยง หรือมีกิจกรรมเสี่ยง เพราะอาจมีโอกาสได้รับเชื้อไม่รู้ตัวและนำไปแพร่ให้คนในบ้านได้ รวมทั้งสวมหน้ากากทุกครั้งเมื่ออยู่ใกล้ชิดกับผู้สูงอายุ ผู้มีโรคประจำตัวเรื้อรัง และเด็กเล็ก
ทั้งนี้ ขอให้บุตรหลานนำสมาชิกในครอบครัวที่เป็นกลุ่ม 608 ไปฉีดวัคซีนโควิด-19 ประจำปี พร้อมวัคซีนไข้หวัดใหญ่ รวมถึงนำเด็กเล็กอายุ 6 เดือน-5 ปี ที่ไม่เคยฉีดวัคซีนโควิด-19 ไปฉีดวัคซีนเพื่อลดการเจ็บป่วยรุนแรงและเสียชีวิต
นพ.โอภาส กล่าวต่อว่า สำหรับสายพันธุ์โควิด-19 ในประเทศไทย พบว่าส่วนใหญ่ยังคงเป็นสายพันธุ์โอมิครอนลูกผสม ซึ่งความสามารถในการแพร่ระบาดและความรุนแรงไม่ได้เพิ่มขึ้น และยังสามารถตรวจหาเชื้อด้วย Antigen Test Kit (ATK) และ RT-PCR ได้ ซึ่งกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ จะติดตามเก็บตัวอย่างจากผู้ป่วยโควิด-19 ทั่วประเทศ ทั้งในชาวไทยและต่างชาติ เพื่อเฝ้าระวังการเปลี่ยนแปลงสายพันธุ์อย่างต่อเนื่องต่อไป
ส่วนยาและเวชภัณฑ์ต่างๆ ยังมีเพียงพอกับสถานการณ์ในปัจจุบัน ได้สั่งการให้กรมควบคุมโรค ประเมินสถานการณ์ทางระบาดวิทยาในระยะต่อไป เพื่อเตรียมการสำรองยาและเวชภัณฑ์ให้เหมาะสมต่อไป