นายบุญสม ชลพิทักษ์วงศ์ ผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการน้ำแห่งชาติ สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) กล่าวถึงภารกิจของ สทนช.ต่อสถานการณ์น้ำในช่วงภัยแล้งและช่วงอุทกภัย ว่า ประเทศไทยมีการกำหนดกรอบในการบริหารจัดการน้ำและทรัพยากรน้ำไว้ 2 ช่วง คือ ช่วงฤดูฝน และช่วงฤดูแล้ง โดยช่วงฤดูแล้งที่ผ่านมา ได้ร่วมกับทุกภาคส่วนเห็นชอบ 10 มาตรการรองรับฤดูแล้ง ปี 65/66 โดยเสนอให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบ เพื่อเป็นแนวทางให้ทุกส่วนราชการที่ทำงานด้านน้ำ ตลอดจนภาคประชาชน และท้องถิ่น ไปจัดทำแผนปฏิบัติการรองรับมาตรการต่างๆ
โดยผลการดำเนินงานช่วงฤดูแล้งที่ผ่านมา สามารถบริหารจัดการสถานการณ์น้ำในช่วงฤดูแล้ง จนมีน้ำต้นทุนเพียงพอที่จะทำเกษตรช่วงต้นฤดฝน ทำนาปี และยังมีปริมาณน้ำเหลือเพียงพอ ที่สำคัญในช่วงฤดูแล้งที่ผ่านมา ไทยไม่ประสบภัยแล้งขนาดใหญ่ที่จะส่งผลกระทบต่อภาพรวมของประเทศเลย ซึ่งเป็นความสำเร็จของการทำงานร่วมกันระหว่าง สทนช. กับภาคีเครือข่าย
ส่วนช่วงฤดูฝนปีนี้ สทนช.ได้ถอดบทเรียนการทำงานในช่วงฤดูฝนปีก่อน และกำหนดเป็น 12 มาตรการเพื่อรับมือฤดูฝนปี 66 และนำเสนอให้ ครม.เห็นชอบแล้ว โดยในมาตรการดังกล่าวได้มีการพิจารณาถึงปรากฎการณ์เอนโซ่ ซึ่งขณะนี้ไทยได้เข้าสู่ภาวะเอลนิโญ่แล้วและจะยาวไปถึงต้นปี 67 จึงได้มีการเพิ่มเติมมาตรการสำคัญจากปีก่อน คือ การเสริมสร้างความเข้มแข็งเครือข่ายภาคประชาชน เพื่อให้รับรู้ข้อมูลข่าวสารที่ราชการสื่อสาร และให้ความสำคัญทบทวนเกณฑ์บริหารจัดการน้ำใหม่ และให้ทุกหน่วยงานเตรียมพร้อมเก็บกักน้ำช่วงปลายฤดูฝนไว้ใช้ต่อช่วงต้นฤดูแล้ง
"จากมาตรการต่างๆ เราเตรียมไว้เพื่อรับสถานการณ์เอลนิโญ่ ที่อาจทำให้ไทยเจอภาวะฝนน้อยกว่าปกติ ในปลายปี 66 ซึ่ง สทนช.พิจารณาผลกระทบจากสถานการณ์ดังกล่าว จึงกำหนดนโยบายสำคัญ ให้หน่วยงานวางแผนบริหารจัดการน้ำล่วงหน้า 2 ปี จากเดิมวางแผน 1 ปี แต่ปีนี้ ต้องเตรียมน้ำสำรองไว้ใช้ฤดูฝนปีนี้ ฤดูแล้งปีหน้า และต่อเนื่องไปยังฤดูฝนปีหน้าด้วย เพื่อรองรับภาวะเอลนิโญ่ที่จะเกิดขึ้น" นายบุญสม กล่าว
พร้อมกันนี้ ยังให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปรณรงค์ขอความร่วมมือกับเกษตรกรให้ทำนาปีละ 1 ครั้ง เพราะการปลูกข้าวต่อเนื่อง โดยเฉพาะในลุ่มเจ้าพระยาจำเป็นต้องมีการใช้น้ำเพื่อการเกษตรในปริมาณมาก ขณะเดียวกันก็ส่งเสริมให้เกษตรกรปลูกพืชใช้น้ำน้อยซึ่งเป็นการบริหารจัดการน้ำไว้ให้เพียงพอใช้จนถึงปี 67 รวมทั้งให้เพียงพอใช้ในภาคส่วนอื่นๆ ด้วย เช่น การอุปโภคบริโภค การรักษาระบบนิเวศ และภาคอตุสาหกรรม
"สทนช. ได้ร่วมกับหน่วยงานเกี่ยวข้อง ในการติดตามเฝ้าระวังสถานการณ์น้ำทุกวัน ประเมินทุกสัปดาห์ เพื่อปรับแผนปฏิบัติให้สอดคล้องสถานการณ์จริง ขอให้มั่นใจว่า การบิรหารจัดการน้ำ ภายใต้บูรณาการร่วมกันของ สทนช. และอีก 40 เครือข่าย เราจะมีน้ำเพียงพอใช้ในทุกกิจกรรม" นายบุญสม กล่าว
ด้านธนาคารโลก (World Bank) เปิดรายงานการติดตามเศรษฐกิจไทย การรับมือภัยแล้ง และอุทกภัย เพื่อการสร้างอนาคตที่ยั่งยืน ระบุว่า ประเทศไทยและหลายประเทศในอาเซียนมีความเสี่ยงสูงต่อปัญหาอุทกภัยและปัญหาภัยแล้ง โดยประเทศไทย มีความเสี่ยงด้านอุทกภัยอยู่ในอันดับที่ 9 ของโลก ซึ่งเหตุอุทกภัยในปี 2554 ของไทยได้สร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจคิดเป็นมูลค่าถึง 1.43 ล้านล้านบาท คิดเป็น 12.6% ของ GDP โดยปัจจุบัน กรุงเทพฯ และพื้นที่อุตสาหกรรมโดยรอบยังคงมีความเสี่ยงที่ต้องเผชิญกับอุทกภัย แม้จะมีการดำเนินมาตรการควบคุมแล้ว ขณะเดียวกันประเทศไทย ยังประสบกับปัญหาภัยแล้ง เนื่องจากขาดแคลนปริมาณน้ำฝน การลดลงของปริมาณน้ำในแม่น้ำ รวมทั้งการจัดการดินที่ไม่มีประสิทธิภาพ โดยประเทศไทยเผชิญกับปัญหาภัยแล้งอย่างรุนแรงในปี 2522 2537 และ 2543 ซึ่งภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เป็นภาคที่มีอัตราความเสี่ยงต่อภัยแล้งมากที่สุด ในรายงานของธนาคารโลก ยังระบุด้วยว่า การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของโลกได้เพิ่มความรุนแรงของความถี่ของทั้งปัญหาอุทกภัย และปัญหาภัยแล้งในอนาคต ทำให้ภาครัฐมีภาระค่าใช้จ่ายด้านอุทกภัยและภัยแล้งเป็นจำนวนมาก และจะยิ่งเพิ่มสูงขึ้นในอนาคต โดยจะเห็นได้ว่าเฉพาะปัญหาอุทกภัยที่เกิดขึ้นในปี 2554 รัฐบาลไทยสูญเสียรายได้ประมาณ 3.7% ของรายได้ภาษีในปี 2554 นอกจากนี้ ยังมีรายงานว่าในปี 2562 รัฐบาลได้สนับสนุนงบประมาณ 25,000 ล้านบาท หรือคิดเป็น 0.15% ของ GDP ให้แก่เกษตรกร เพื่อชดเชยความเสียหายให้กับผลผลิตทางการเกษตรที่ได้รับผลกระทบจากปัญหาภัยแล้งและอุทกภัย "การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ทำให้ความรุนแรงและความถี่ของปัญหาอุทกภัยเพิ่มขึ้น ต้นทุนทางเศรษฐกิจก็จะเพิ่มสูงขึ้นเช่นกัน หากปัญหาอุทกภัยเกิดขึ้นในวงกว้าง ธุรกิจจำนวนมากจะต้องลดการผลิตลงในช่วงที่เกิดปัญหาอุทกภัยและช่วงของการฟื้นฟู ธุรกิจที่ไม่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากปัญหาอุทกภัย อาจถูกบีบให้ลดการผลิตลง เนื่องจากปัญหาของห่วงโซ่อุปทาน การสูญเสียรายได้ยังอาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจด้านอุปสงค์อีกด้วย" รายงานธนาคารโลก ระบุ
รายงานของธนาคารโลก ยังระบุด้วยว่า การรับมือกับอุทกภัยและภัยแล้งของไทยมีความคืบหน้ามากขึ้น และสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) นับตั้งแต่ก่อตั้งในปี 2560 ได้สนับสนุนการวางแผนและดำเนินการตามมาตรการบรรเทาอุทกภัยและภัยแล้งมากขึ้น
อย่างไรก็ดี ได้แนะนำว่า ในการปฏิรูปกฎหมายและหน่วยงาน ควรดำเนินการควบคู่ไปกับการประเมินต้นทุน และผลประโยชน์ที่รัดกุมมากยิ่งขึ้น เพื่อให้สอดคล้องกับพระราชบัญญัติทรัพยากรน้ำ พ.ศ. 2561 ในการจัดลำดับความสำคัญของมาตรการป้องกันอุทกภัยและภัยแล้งที่เหมาะสม ทั้งนี้ ความคืบหน้าล่าสุดในการปรับปรุงประสิทธิภาพการใช้น้ำ การส่งเสริมเศรษฐกิจแบบหมุนเวียน และการบูรณาการแนวทางแก้ไขด้วยวิธีธรรมชาติ สามารถมีส่วนช่วยในการยกระดับความสามารถของประเทศไทยในการรับมือกับอุทกภัย และภัยแล้งได้มากยิ่งขึ้น
ด้านน.ส.ทวิดา กมลเวชช รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร กล่าวว่า เมื่อกล่าวถึงภาวะวิกฤติ ย่อมส่งผลกระทบให้การพัฒนาทางเศรษฐกิจหยุดชะงัก การบริหารจัดการจึงควรที่จะสามารถยืดหยุ่นได้ ทุกพื้นที่สามารถเห็นกันและกันแล้ววางแผนร่วมกันได้
ในการวางแผนเรื่องน้ำ กรุงเทพมหานครได้นำระบบเทคโนโลยี เช่น AI หรือระบบ IoT (Internet of Things) เข้ามาใช้ เพื่อประโยชน์ในการบริหารจัดการและการรายงานให้ประชาชนทราบ อาทิ มีเรดาร์น้ำฝน ซึ่งสามารถจับกลุ่มฝนที่จะมาถึงกรุงเทพมหานครภายในเวลาประมาณ 1 - 1 ชั่วโมงครึ่ง โดยรายงานให้ประชาชนทราบเพื่อให้ประชาชนสามารถวางแผนการเดินทางได้ มีเซ็นเซอร์วัดระดับน้ำตามท่อระบายน้ำ/ถนนสายหลัก รวมถึงมีการปรับกล้อง CCTV ให้สามารถเห็นระดับน้ำบนพื้นถนนเมื่อเกิดฝนตก ซึ่งจะทำให้สามารถคาดการณ์ระยะเวลาในการระบายน้ำได้ มีการนำจุดเสี่ยงน้ำท่วม 737 จุด ขึ้นบนแผนที่ความเสี่ยงกรุงเทพมหานคร (BKK Risk Map) เพื่อเจ้าหน้าที่ติดตามแก้ไขปัญหาได้อย่างถูกต้องตรงจุด และประชาชนสามารถติดตามได้ว่าพื้นที่ที่ตนอยู่มีความเสี่ยงหรือไม่ เป็นต้น
ในเรื่องของภัยแล้ง กรุงเทพมหานครได้มีฝายดักน้ำ เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรในพื้นที่ รวมถึงยังได้มีการสนับสนุนเครื่องบดอัดฟาง เพื่อป้องกันการเผาที่อาจจะส่งผลให้เกิดปัญหาฝุ่น PM2.5 ตามมา นอกจากนี้ยังมีการบริหารจัดการน้ำร่วมกับจังหวัดข้างเคียงและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดด้วย