นายสุรสีห์ กิตติมณฑล เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) ในฐานะรองผู้อำนวยการกองอำนวยการน้ำแห่งชาติ (กอนช.) คาดว่าในระยะนี้จะยังมีฝนกระจายตัวแต่ปริมาณจะลดลงจากช่วงที่ผ่านมา แต่ยังคงมีแนวโน้มที่ปริมาณฝนจะเพิ่มขึ้นในช่วงเดือน ส.ค.-ก.ย.นี้ โดยกรมอุตุนิยมวิทยาประเมินสถานการณ์ว่ามีโอกาสที่จะมีพายุหมุนเขตร้อนผ่านเข้ามาได้ 1-2 ลูก โดย สทนช. ได้มีการซักซ้อมแผนเผชิญเหตุและการซักซ้อมการตั้งศูนย์บริหารจัดการน้ำส่วนหน้า เพื่อเตรียมรับมือกรณีมีฝนตกมากจากพายุดังกล่าว รวมทั้งทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมขับเคลื่อน 12 มาตรการรับมือฤดูฝนอย่างเคร่งครัด ขณะเดียวกันได้เตรียมบริหารความเสี่ยงในกรณีที่ไม่มีพายุจรเข้ามา โดยได้วางแผนบริหารจัดการน้ำ 2 ปี เพื่อให้มีน้ำเพียงพอถึงช่วงฤดูแล้ง ปี 2567/68 ภายใต้สภาวะเอลนีโญ พร้อมรณรงค์ในเรื่องการประหยัดน้ำและงดทำนาปีต่อเนื่อง รวมถึงประชาสัมพันธ์ให้หน่วยงานท้องถิ่นและประชาชน ร่วมช่วยขุดลอก ขุดสระเก็บน้ำ เพื่อกักเก็บน้ำในช่วง 2 เดือนนี้ที่มีโอกาสที่อาจจะมีฝนตกไว้ให้ได้มากที่สุด นับว่าต้องอาศัยความร่วมมือของทุกภาคส่วนอย่างแท้จริง
สำหรับสถานการณ์น้ำในขณะนี้เนื่องจากมีร่องมรสุมพาดผ่านในพื้นที่ตอนบนของประเทศ ส่งผลให้มรสุมตะวันตกเฉียงใต้มีกำลังแรงขึ้น ทำให้มีปริมาณฝนเพิ่มมากขึ้นในพื้นที่ภาคเหนือตอนบน ชายขอบของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ รวมถึงภาคตะวันออก และภาคใต้ฝั่งตะวันตก
โดย กอนช.ได้ประกาศแจ้งเตือนพื้นที่เสี่ยงน้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลาก และได้ประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการให้ความช่วยเหลือประชาชนอย่างเต็มที่ โดยช่วงที่ผ่านมามีพื้นที่ประสบอุทกภัยใน 4 จังหวัด ได้แก่ จ.ตาก จ.อำนาจเจริญ จ.นครพนม และ จ.อุดรธานี ซึ่งคาดว่าสถานการณ์น้ำจะคลี่คลายกลับสู่ภาวะปกติในเร็ววันนี้
อย่างไรก็ตาม นับเป็นสัญญาณดีที่มีฝนตกมากขึ้น ซึ่งช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้หลายพื้นที่และเพิ่มปริมาณน้ำต้นทุนให้อ่างเก็บน้ำต่างๆ โดยเฉพาะอ่างฯ ที่มีปริมาณน้ำน้อย เช่น เขื่อนสิริกิติ์ เชื่อนภูมิพล เป็นต้น โดยในช่วงวันที่ 27 ก.ค.-2 ส.ค.66 มีปริมาณน้ำไหลเข้าอ่างฯ รวม 1,221 ล้านลูกบาศก์เมตร (ลบ.ม.) แต่ยังคงต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้ ประกอบกับพื้นที่ตอนกลางของประเทศและภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่างยังคงมีฝนค่อนข้างน้อยกว่าปกติ และมีแนวโน้มประสบปัญหาภัยแล้ง จึงจำเป็นต้องติดตามเฝ้าระวังสถานการณ์อย่างใกล้ชิดเพื่อเตรียมพร้อมให้ความช่วยเหลือประชาชน
ปัจจุบันมีปริมาณน้ำทั้งประเทศ 41,413 ล้าน ลบ.ม. คิดเป็น 50% ของความจุรวม โดยเป็นปริมาณน้ำใช้การเพียง 17,307 ล้าน ลบ.ม. คิดเป็น 30% แม้ว่าสถานการณ์น้ำในอ่างเก็บน้ำต่างๆ จะดีขึ้น แต่ยังถือว่ามีปริมาณน้ำน้อย โดยเฉพาะในพื้นที่ภาคกลาง นอกจากนี้ ปริมาณฝนสะสมทั้งประเทศก็ยังคงต่ำกว่าค่าปกติ 19% จึงไม่สามารถประมาทได้แม้มีฝนตกเพิ่มมากขึ้นในช่วงนี้ โดย กอนช. ได้ประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการติดตามสถานการณ์ภัยแล้ง เตรียมพร้อมเครื่องจักรเครื่องมือ และเร่งสูบน้ำจากลำน้ำเข้าสู่พื้นที่ที่ขาดแคลนน้ำ เพื่อช่วยเหลือประชาชนให้ได้รับความเดือดร้อนน้อยที่สุด และบูรณาการความร่วมมือทั้งกรมทรัพยากรน้ำ กรมชลประทาน กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย รวมทั้งหน่วยงานท้องถิ่น ในการบริหารจัดการน้ำทั้งในเขตชลประทานและนอกเขตชลประทานให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด
สำหรับสถานการณ์น้ำในภาคตะวันออกซึ่งมีหลายภาคส่วนแสดงความกังวลถึงปริมาณน้ำที่อาจจะมีไม่เพียงพอและเสี่ยงเกิดภัยแล้งนั้น ขณะนี้ภาคตะวันออกมีการบริหารจัดการน้ำในลักษณะของโครงข่ายน้ำ เช่น อ่างเก็บน้ำบางพระ ที่ปัจจุบันมีปริมาณน้ำน้อย จะมีการผันน้ำจากโครงการส่งน้ำและบำรุงรักษาพระองค์ไชยานุชิตและจากแม่น้ำบางปะกง เข้าไปช่วยเหลือ เช่นเดียวกับ จ.ฉะเชิงเทรา ในพื้นที่ลุ่มน้ำบางปะกง ที่หากมีปริมาณน้ำไม่เพียงพอในช่วงฤดูแล้ง จะมีการผันน้ำจากอ่างเก็บน้ำบางพระกลับมาเพื่อสนับสนุนน้ำอุปโภค บริโภค โดย กอนช. ให้ความสำคัญในการบริหารจัดการน้ำในภาพรวมของพื้นที่ภาคตะวันออกเพื่อป้องกันปัญหาขาดแคลนน้ำภายใต้สภาวะเอลนีโญ