พล.ต.ท.ไตรรงค์ ผิวพรรณ ผู้บัญชาการสำนักงานกฎหมายและคดี (ผบช. กมค.) กล่าวถึงความคืบหน้าในคดีเว็บไซต์พนันออนไลน์ ซึ่งปรากฎผู้ต้องหาในคดี 8 ราย เป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รอง ผบ.ตร.) และกรณีการเข้าตรวจค้นบ้านพักของ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ เมื่อวันที่ 24 ก.ย.ที่ผ่านมา
พล.ต.ท.ไตรรงค์ กล่าวว่า ในส่วนการขยายผลไปถึงกลุ่มผู้เกี่ยวข้อง ทั้งพลเรือน ตำรวจ และทหารนั้น ขณะนี้อยู่ในระหว่างการสืบสวนของพนักงานสอบสวน ซึ่งวันนี้คณะทำงานจะประชุมกันเพื่อขยายผลต่อจากกลุ่มผู้ต้องหาที่มีการจับกุม สำหรับการเรียกเจ้าของบ้านที่ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ เช่าให้ผู้ใต้บังคับบัญชาพักอาศัยมาสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับความเชื่อมโยงกับผู้ต้องหาที่ถูกจับกุมนั้น ต้องขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของพนักงานสอบสวน อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ยังคงยืนยันได้ว่าผู้ต้องหาที่เป็น 8 นายตำรวจ ยังคงให้การที่ไม่เป็นประโยชน์กับพนักงานสอบสวน และปฏิเสธในทุกข้อกล่าวหา ซึ่งเป็นหน้าที่ของพนักงานสอบสวนที่จะต้องสืบหาข้อเท็จจริงต่อไป เมื่อถามถึงกรณีการเรียกสอบกลุ่มสื่อมวลชน พล.ต.ท.ไตรรงค์ กล่าวว่า ให้มองกลุ่มนี้อยู่ในกลุ่มพลเรือน ซึ่งมีบางรายที่เจ้าหน้าที่เองก็มีข้อมูลว่าเป็นสื่อมวลชน หรือรู้เองในวงการว่ารายชื่อดังกล่าวเป็นสื่อมวลชน กลุ่มนี้จะมีการเรียกสอบในฐานะที่มีเส้นทางการเงินเกี่ยวข้องกับบัญชีม้าของกลุ่มผู้ต้องหาที่ถูกจับกุม ส่วนการรับเงินโดยตรงจากบัญชีอื่น ๆ ที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับคดี ก็ถือว่าไม่ได้มีความผิด เมื่อถามถึงความกังวลใจกรณีที่ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ จัดตั้งชุดทนายความเพื่อเตรียมฟ้องกลับชุดจับกุมว่าทำหน้าที่โดยไม่ชอบ ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 หรือไม่ พล.ต.ท.ไตรรงค์ กล่าวว่า ประการแรก ต้องให้ความเป็นธรรมกับชุดสืบสวนสอบสวนและจับกุมก่อน ทั้งนี้ ตนยืนยันว่าในทุกขั้นตอนและกระบวนการ เป็นไปอย่างถูกต้องตามหลักขั้นตอนของกฎหมาย แต่ตามปกติแล้ว หากมีผู้ต้องหาหรือบุคคลที่เกี่ยวข้องต้องการยื่นฟ้องกลับเจ้าหน้าที่ตำรวจในข้อหา ม.157 ก็สามารถทำได้เป็นสิทธิ์ของบุคคลเหล่านั้น แต่ทั้งนี้เจ้าหน้าที่เองที่ปฏิบัติงาน ก็ต้องมั่นใจว่าทำหน้าที่อย่างถูกต้องครบถ้วนรอบคอบ
ทั้งนี้ ขอย้ำว่าคดีเว็บพนันออนไลน์ไม่ได้กระทำแค่วานนี้ แต่เป็นการกระทำต่อเนื่องมาตั้งแต่กรณีของบอสตาล และมินนี่ จึงเชื่อได้ว่าชุดทำงานมีข้อมูลหลักฐานที่รัดกุม
พล.ต.ท.ไตรรงค์ กล่าวชี้แจงถึงการออกหมายจับ 8 นายตำรวจที่ในหมายไม่มีการระบุยศของข้าราชการตำรวจ แต่เป็นการใส่คำนำหน้านายแทนว่า ในส่วนนี้ตามข้อกฎหมายไม่ได้ระบุว่าจะต้องใส่ตำแหน่งหน้าที่การงาน เพียงแต่ให้ใส่ในส่วนของชื่อและรูปพรรณ โดยตนได้สอบถามชุดจับกุมแล้ว ทราบว่าได้ให้การต่อศาลในขณะออกหมายจับว่าบุคคลตามหมายประกอบหน้าที่อะไร ไม่ได้มีการปิดบัง และการออกหมาย เป็นการอนุมัติตามพยานหลักฐานที่มีเป็นหลัก
พร้อมระบุว่า ครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่ชุดทำงานของตนออกหมายจับตำรวจด้วยการใช้สรรพนามว่านาย แต่สำหรับการทำงานของตนมองว่าการดำเนินคดีกับบุคคลที่ประกอบอาชีพเป็นตำรวจ บางครั้งต้องยึดถึงเกียรติในอาชีพหน้าที่ การที่ตัดสินใจไม่ใช้ยศตำรวจถือเป็นการป้องกันเกียรติยศศักดิ์ศรีความเป็นตำรวจ "ไม่ว่าตำรวจชุดไหน กลุ่มไหน หากเป็นผู้ต้องหาที่มีการกระทำความผิด องค์กรตำรวจก็จะไม่ปกป้อง ถ้าตำรวจทำผิด ก็จะต้องดำเนินคดี ถ้ามีการไปคุยกันเองก่อนจะดำเนินคดี อย่างนี้ถึงจะเรียกว่าปฏิบัติหน้าที่โดยไม่ชอบ" พล.ต.ท.ไตรรงค์ กล่าว
โดยหลังจากนี้ หากมีกลุ่มผู้ต้องหาออกมาแถลงข่าวชี้แจงต่อสื่อมวลชน ต่อประชาชน จะต้องดูในส่วนของพฤติการณ์และเจตนาของการกระทำ หากเป็นการชี้นำ และทำให้พยานหลักฐานในคดีกระทบพนักงานสอบสวน ก็จะใช้ดุลยพินิจเพิกถอนการประกันตัวชั่วคราว แต่หากเป็นการแสดงความคิดเห็นตามปกติ ก็สามารถทำได้ถือเป็นสิทธิ์ของบุคคลนั้น