นายสุรสีห์ กิตติมณฑล เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) เปิดเผยถึงกรณีที่มีผู้โพสต์เฟซบุ๊กหัวข้อ "บทบาท สทนช. ไม่ปรับเปลี่ยน 117 ล้านไร่ แล้งเหมือนเดิม" โดยระบุว่า ยุทธศาสตร์การบริหารจัดการทรัพยากรน้ำฯ ผิดพลาด พื้นที่เกษตรถูกจำกัด บทบาท สทนช. เป็นเพียงสำนักงานเลขานุการของคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (กนช.) นั้น เป็นการทำให้ประชาชนเกิดความเข้าใจคลาดเคลื่อนได้ โดยความจริงแล้วภารกิจหลักของ สทนช. ในการทำหน้าที่เป็นสำนักงานเลขานุการ ของ กนช. เป็นหนึ่งในอีกหลายภารกิจของ สทนช. ตามพระราชบัญญัติทรัพยากรน้ำ พ.ศ. 2561 โดย สทนช. ได้บูรณาการหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการยกร่างแผนแม่บทการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ 20 ปี (พ.ศ. 2561 - 2580) เสนอ กนช. สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และคณะรัฐมนตรี เพื่อให้ความเห็นก่อนประกาศในราชกิจจานุเบกษา และทำหน้าที่กลั่นกรองความเหมาะสมของแผนงานโครงการด้านน้ำจากทุกหน่วยงาน รวมถึงภาคส่วนที่เกี่ยวข้องเพื่อร่วมกันขับเคลื่อนภารกิจการแก้ไขปัญหาด้านน้ำของประเทศในมิติต่าง ๆ ให้เกิดความยั่งยืน ตามแผนแม่บทฯน้ำ 20 ปี และแผนยุทธศาสตร์ชาติ
นอกจากการเป็นสำนักงานเลขานุการ ของ กนช. แล้วนั้น สทนช. ยังมีบทบาทและภารกิจในการบูรณาการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำในอีกหลากหลายด้าน เช่น การวิเคราะห์ ประมวลผล และคาดการณ์สถานการณ์น้ำทั้งในภาวะปกติและภาวะวิกฤติ เพื่อแจ้งเตือนให้ประชาชนรับมือหากเกิดภัยพิบัติด้านน้ำ ตลอดจนการขับเคลื่อนการบังคับใช้กฎหมายลำดับรอง ตาม พ.ร.บ.ทรัพยากรน้ำ พ.ศ. 2561 เพื่อให้การบริหารจัดการทรัพยากรน้ำในระดับท้องถิ่นและพื้นที่ลุ่มน้ำเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ สะท้อนกระบวนการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนอย่างแท้จริง รวมทั้งยังมีบทบาทในการประสานความร่วมมือกับประเทศในภูมิภาค เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลการบริหารจัดการน้ำและการใช้น้ำจากแม่น้ำระหว่างประเทศร่วมกัน พร้อมพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการน้ำและเสริมความมั่นคงด้านน้ำให้กับประเทศอีกด้วย
สำหรับประเด็นที่มีข้อสังเกตถึงการนำระบบ Thai Water Plan (TWP) มาใช้ นั้น ไม่ใช่รวบอำนาจการตัดสินใจตามที่กล่าวอ้างแต่อย่างใด แต่เป็นการให้หน่วยงานด้านน้ำทุกหน่วย ทั้งส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค ตลอดจนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) สามารถเสนอแผนปฏิบัติการด้านน้ำของตัวเองเข้ามาได้ ด้วยระบบที่สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น โดยเริ่มใช้งานในปีงบประมาณ 2566 ที่ผ่านมา ซึ่งระบบนี้จะทำให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในด้านน้ำสามารถเข้าถึงได้ โดยมีกระบวนการพิจารณาจากคณะกรรมการในพื้นที่ ได้แก่ คณะอนุกรรมการทรัพยากรน้ำจังหวัดและคณะกรรมการลุ่มน้ำ ก่อนจะส่งต่อให้ สทนช. ในฐานะผู้พิจารณาในภาพรวมทั้งประเทศ สามารถตรวจสอบได้ว่า แผนงานโครงการที่เสนอมาสอดคล้องกับแผนแม่ฯบทน้ำ 20 ปีหรือไม่ ซ้ำซ้อน ทับซ้อน หรือเชื่อมโยงกันหรือไม่ มีความคืบหน้าอย่างไร ทำให้สามารถจัดทำแผนงานโครงการได้อย่างเป็นระบบ ซึ่งประชาชนทั่วไปสามารถติดตามตรวจสอบหน่วยงานผู้รับผิดชอบและความคืบหน้าของโครงการด้านทรัพยากรน้ำในแต่ละพื้นที่ได้อีกด้วย ซึ่ง สทนช. ได้มีการชี้แจงและสร้างความเข้าใจในการเสนอแผนงานให้กับหน่วยงานด้านน้ำและ อปท. มาอย่างต่อเนื่อง
"ระบบ TWP ไม่ได้เป็นอุปสรรคขัดขวางแผนงานด้านน้ำของ อปท. ในทางตรงข้าม กลับช่วยให้ อปท. ที่กระจายอยู่ทั่วประเทศกว่า 7,850 แห่ง รวมถึงหน่วยงานด้านน้ำ สามารถเสนอแผนงานโครงการแก้ปัญหาด้านน้ำที่ตอบสนองความต้องการประชาชนในพื้นที่ และสร้างความมั่นคงด้านน้ำให้กับพื้นที่นั้น ๆ ได้อย่างแท้จริง เช่นเดียวกับฝายแกนดินซีเมนต์ ซึ่ง อปท. หลายแห่งต้องการดำเนินการ หากสามารถสร้างประโยชน์และแก้ปัญหาด้านน้ำให้กับพื้นที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ มีความสอดคล้องกับแผนเม่บทฯน้ำ 20 ปี เป็นไปตามภารกิจถ่ายโอนฯ และไม่ซ้ำซ้อนกับการดำเนินงานของหน่วยงานอื่น ๆ สทนช. จะพิจารณาเสนอของบประมาณ เพื่อให้ดำเนินการได้ทันที แต่หากไม่ทันในปีงบประมาณปัจจุบัน จะมีการเสนอในปีงบประมาณถัดไป หากหน่วยงานยังยืนยันที่จะดำเนินงานตามแผนงานที่เสนอมา" เลขาธิการ สทนช. กล่าว
อย่างไรก็ตาม สทนช.ยังได้มีการดำเนินการเกี่ยวกับฝายแกนดินซีเมนต์ จากการประชุมคณะกรรมาธิการการแก้ปัญหาความยากจนและลดความเหลื่อมล้ำ วุฒิสภา สทนช. จึงได้แต่งตั้งคณะทำงานดำเนินการจัดทำหลักเกณฑ์และแนวทางการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำโดยใช้ฝายแกนดินซีเมนต์ ภายใต้อนุกรรมการที่ กนช. แต่งตั้ง ได้แก่ คณะอนุกรรมการพัฒนาเทคโนโลยี นวัตกรรมการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำและผังน้ำ เพื่อพิจารณากำหนดหลักเกณฑ์และแนวทางการบริหารทรัพยากรน้ำโดยใช้ฝายแกนดินซีเมนต์ ให้สอดคล้องกับหลักวิศวกรรม เศรษฐศาสตร์ และสิ่งแวดล้อม โดยอยู่ระหว่างจัดทำคู่มือฝายแกนดินซีเมนต์ มีกำหนดเสนอให้คณะอนุกรรมการพัฒนาเทคโนโลยี นวัตกรรมการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำและผังน้ำ พิจารณาในเดือน พ.ย. 66 และเสนอให้ กนช. พิจารณาตามลำดับต่อไป
"สทนช.มีการผลักดันให้ภาคประชาชนและท้องถิ่นเข้ามามีบทบาทในการบริหารจัดการน้ำอย่างต่อเนื่อง โดยมีเป้าหมายให้การพัฒนาทรัพยากรน้ำเกิดความครอบคลุมรอบด้าน รองรับการเปลี่ยนแปลงหรือความท้าทายใหม่ๆ ที่เกิดขึ้น เกิดประโยชน์กับประชาชนอย่างแท้จริง ที่สอดคล้องกับการปรับปรุงทบทวนแผนแม่บทฯน้ำ 20 ปี (ปรับปรุงช่วงที่ 1 พ.ศ. 2566 ? 2580) โดยเฉพาะพื้นที่เกษตรน้ำฝนที่อยู่นอกเขตชลประทาน มีการพัฒนาแหล่งน้ำและระบบกระจายน้ำเพื่อตอบสนองความต้องการใช้น้ำในพื้นที่เกษตรน้ำฝน (รวมถึงน้ำบาดาล) โดยเป็นโครงการพัฒนาแหล่งน้ำขนาดเล็กประเภทต่าง ๆ ที่มีหน่วยงานหลักในการดำเนินการ คือ อปท. มีหน่วยงานสนับสนุน อาทิ กรมทรัพยากรน้ำ กรมพัฒนาที่ดิน กรมชลประทาน มูลนิธิปิดทองหลังพระ กองทัพบก เป็นต้น ซึ่งเป้าหมายปี 66-80 ในการเพิ่มแหล่งเก็บกักน้ำฤดูแล้ง 1,050 ล้านลูกบาศก์เมตร พื้นที่รับประโยชน์ 1.5 ล้านไร่ ซึ่งฝายแกนดินซีเมนต์เป็นลักษณะโครงการประเภทหนึ่ง ในการขับเคลื่อนตามแผนแม่บทฯน้ำ 20 ปี ดังนั้น หาก อปท. ต่าง ๆ มีความพร้อมในการขอใช้พื้นที่ การมีส่วนร่วมและความพร้อมของแบบก่อสร้าง สามารถเสนอโครงการผ่านระบบ TWP เพื่อขอรับการจัดสรรงบประมาณได้ อย่างไรก็ตาม งบประมาณในการดำเนินการก่อสร้างฝายแกนดินซีเมนต์ หรือโครงการพัฒนาแหล่งน้ำขนาดเล็กประเภทอื่น ๆ ตาม พ.ร.บ.กระจายอำนาจ เป็นงบประมาณเชิงพื้นที่ (Area) ที่กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นจะเป็นผู้พิจารณาจัดสรรให้แต่ละท้องถิ่นต่อไป.