จากสถานการณ์การระบาดของโรคไข้หวัดใหญ่ โดยเฉพาะสายพันธุ์ A H1N1, H3N2 และสายพันธุ์ B ที่ระบาดรุนแรงในหลายจังหวัด ทำให้มีจำนวนผู้ป่วยสะสม ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.-30 ก.ย. 66 ถึง 248,322 ราย อัตราป่วย 375.50 ต่อประชากรแสนคน มีรายงานผู้เสียชีวิต 8 ราย (อัตราป่วยตาย 3.2 รายต่อผู้ป่วยแสนราย) เฉพาะในเดือนก.ย. ที่ผ่านมา จำนวนผู้ป่วยเพิ่มขึ้นถึง 109,556 ราย
นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว รมว.สธ. กล่าวว่า ได้มอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการเพื่อรับมือสถานการณ์การระบาดรุนแรง โดยเฉพาะใน 10 จังหวัดที่มีรายงานผู้ป่วยสูงที่สุด ได้แก่ ระยอง ภูเก็ต กรุงเทพมหานคร เชียงใหม่ ยโสธร พัทลุง อุบลราชธานี ลำพูน นครปฐม และจันทบุรี โดยให้กระทรวงสาธารณสุข ร่วมกับสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ เร่งจัดหาและดำเนินการฉีดวัคซีนให้กับประชาชน
ทั้งนี้ จะเน้นกลุ่มเสี่ยง 608 ได้แก่ ผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป, ผู้มีโรคประจำตัว 7 โรค คือ โรคทางเดินหายใจเรื้อรัง โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคไตวายเรื้อรัง โรคหลอดเลือดสมอง โรคอ้วน โรคมะเร็ง โรคเบาหวาน และกลุ่มหญิงตั้งครรภ์ เนื่องจากกลุ่มนี้หากได้รับเชื้อจะมีอาการรุนแรงมากกว่า
นพ.ชลน่าน กล่าวว่า ขณะนี้ได้รับการร้องเรียนจากผู้ปกครองจำนวนมาก ให้สธ. เข้าไปดูแลการระบาดของไข้หวัดใหญ่ในโรงเรียน โดยเฉพาะเด็กเล็ก ซึ่งพบว่าสิทธิในการฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่สำหรับเด็กในปัจจุบัน คือ อายุ 6 เดือน-2 ปี ซึ่งคิดว่าไม่เพียงพอ จึงได้สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปศึกษาเรื่องการขยายอายุการฉีดวัคซีนในเด็กไปถึง 5 ปี เพื่อจะได้สกัดกั้นการระบาดได้มากขึ้น
รวมทั้งอาจขยายระยะเวลาการรณรงค์ฉีดวัคซีน จากเดือนพ.ค.-ส.ค. ของทุกปี ให้ยาวไปถึงเดือนพ.ย. เนื่องจากในปีนี้ สถานการณ์การระบาดค่อนข้างรุนแรง และฤดูฝนยาวนานขึ้น
ส่วนที่มีข่าวว่าขาดแคลนยารักษาไข้หวัดใหญ่นั้น ได้สั่งการให้สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) เร่งบรรจุยาฟาวิพิราเวียร์ไว้ในบัญชียาหลักแห่งชาติให้แล้วเสร็จโดยเร็ว เพื่อจะได้เป็นทางเลือกในการใช้เป็นยารักษาไข้หวัดใหญ่ ภายหลังสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 คลี่คลายลงแล้ว