นายณรงค์ บุญเสถียรวงศ์ รองอธิบดีกรมการกงสุล ผู้แทนกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวถึงสถานการณ์ในประเทศอิสราเอลขณะนี้ว่า สถานการณ์การสู้รบขยายวงกว้างออกไปมาก ส่งผลต่อการเดินทางไปยังจุดต่าง ๆ เกือบทุกแห่ง ทำให้การรวบรวมคนงานไทยไปยังสถานที่ปลอดภัย เพื่อเตรียมการลำเลียงขึ้นเครื่องบินกลับประเทศ รวมทั้งการเดินทางไปยังสนามบินเทลอาวีฟ ซึ่งเป็นสนามบินแห่งเดียวในอิสราเอลที่ยังคงเปิดใช้งานอยู่ ยังเป็นไปด้วยความยากลำบาก
โดยที่ประชุมร่วมระหว่างกระทรวงการต่างประเทศ กองบัญชาการกองทัพไทย และสายการบิน เพื่อสรุปแผนอพยพคนไทยในวันนี้ ในส่วนของกระทรวงการต่างประเทศ จะเร่งดำเนินการรวบรวมคนไทย และสรุปจำนวนและสถานที่นัดหมายรับคนไทย เพื่อแจ้งให้กระทรวงคมนาคมทราบ เพื่อกำหนดแผนเที่ยวบินให้กับสายการบินทราบต่อไป
สำหรับแผนการขนส่งคนไทยกลับประเทศ จะกำหนดไว้เป็น 2 แนวทางร่วมกัน ทั้งการบินตรงจากสนามบินต้นทางสู่ประเทศไทย และการอพยพคนไทยออกจากอิสราเอลไปยังประเทศที่ปลอดภัย เช่น ดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ หรืออินเดีย ซึ่งเป็นการบินระยะสั้น สามารถดำเนินการขนคนไทยได้จำนวนมากในเวลาที่รวดเร็วกว่า ก่อนที่จะจัดเครื่องบินพาณิชย์เดินทางกลับสู่ประเทศไทยต่อไป
ในขณะที่การเตรียมความพร้อมด้านเที่ยวบิน ขณะนี้มีสายการบินของไทยอย่างน้อย 3 สายการบิน ที่แสดงถึงความพร้อมสำหรับปฏิบัติการรับคนไทยกลับประเทศ ได้แก่ สายการบินไทยแอร์เอเชีย การบินไทย และนกแอร์ ที่จะสามารถเดินทางไปรับได้ภายใน 3 วัน เมื่อได้มีการกำหนดแผนและสนามบินที่จะใช้เป็นจุดรับคนไทยเป็นที่ชัดเจนแล้ว โดยอาจเป็นทั้งที่สนามบินเทลอาวีฟ หรือสนามบินอื่น ๆ ภายนอกประเทศอิสราเอลที่มีความปลอดภัย โดยในเบื้องต้น สำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (CAAT) ได้มีหนังสือแจ้งไปยังสานักงานการบินแห่งอิสราเอล (CAAI) ทราบล่วงหน้าแล้ว
นายชาย เอี่ยมศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. การบินไทย (THAI) เปิดเผยว่า บริษัทฯ ในฐานะสายการบินแห่งชาติ มีความพร้อมในการสนับสนุนภารกิจภาครัฐในการรับคนไทยในพื้นที่ดังกล่าวกลับสู่ประเทศไทย โดยได้ประสานงานอย่างใกล้ชิดกับกระทรวงการต่างประเทศ และหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง และเตรียมความพร้อมอย่างต่อเนื่องมาโดยตลอด ปัจจุบันบริษัทฯ มีความพร้อมในทุกๆ ด้าน โดยในเบื้องต้นคาดว่าจะสามารถรองรับคนไทยได้เที่ยวบินละ 250-290 ที่นั่ง