นายชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ในช่วงเช้าที่ผ่านมา นางออร์นา ซากิฟ (H.E. Mrs. Orna Sagiv) เอกอัครราชทูตรัฐอิสราเอลประจำประเทศไทย เข้าเยี่ยมคารวะนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง ซึ่งนายกรัฐมนตรี ระบุว่ารัฐบาลได้ติดตามสถานการณ์ความไม่สงบที่เกิดขึ้นในอิสราเอลด้วยความกังวล หวังว่าสถานการณ์กลับเป็นปกติในเร็ววัน และแสดงความเสียใจต่อการสูญเสียชีวิตและทรัพย์สิน โดยไทยขอคัดค้านความรุนแรงที่เกิดขึ้นโดยทุกฝ่ายทุกรูปแบบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อส่งผลกระทบต่อผู้บริสุทธิ์ รวมถึงคนไทย
ทั้งนี้ รัฐบาลไทยให้ความสำคัญสูงสุดในสวัสดิภาพและความปลอดภัยของคนไทยในอิสราเอล ซึ่งมีประมาณ 30,000 คน โดยนายกรัฐมนตรีได้หารือกับเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงเทลอาวีฟ อย่างใกล้ชิด เพื่อติดตามประเมินสถานการณ์และจัดแผนให้การช่วยเหลือคนไทย พร้อมขอบคุณฝ่ายอิสราเอลที่ให้การสนับสนุนคนไทยที่ได้รับผลกระทบจากความรุนแรง และขอรับการสนับสนุนความช่วยเหลืออย่างต่อเนื่อง เพื่อความปลอดภัยและสวัสดิภาพของคนไทยทุกคน
ส่วนกรณีที่คนงานไทย 16 คนถูกจับเป็นตัวประกันนั้น รัฐบาลห่วงกังวลต่อความปลอดภัยของคนไทยเหล่านี้ จึงได้ขอให้รัฐบาลอิสราเอลช่วยเหลือเพื่อให้คนไทยทั้ง 16 คนได้รับการปล่อยตัว เพราะทุกคนถือเป็นผู้บริสุทธิ์ ซึ่งตามสนธิสัญญาระหว่างประเทศจะต้องได้รับการปล่อยตัวโดยเร็ว รวมทั้งขอความสนับสนุนภารกิจการพาคนไทยกลับประเทศ ซึ่งมีการลงทะเบียนแจ้งความประสงค์เกือบ 6 พันคนแล้ว
"คนงานที่แสดงเจตจำนงจะกลับประเทศไทย ขณะนี้มีประมาณ 6,000 คน โดยสามารถลำเลียงกลับได้วันละ 200 คน ซึ่งความสำคัญคืออยู่ที่เครื่องบิน โดยจะมีการประชุมคณะทำงานเย็นนี้ ที่กระทรวงการต่างประเทศ โดยเอกอัครราชทูตฯ ให้ความมั่นใจถึงความสำคัญของรัฐบาลในการลำเลียงคนไทยกลับประเทศ"
สำหรับการใช้เครื่องบินเพื่ออพยพคนไทย จะต้องขออนุญาตเพื่อบินผ่านน่านฟ้าในทุกครั้ง ซึ่งกระทรวงการต่างประเทศได้พยายามเจรจา และหวังว่านานาชาติจะช่วยอำนวยความสะดวก อย่างไรก็ดี ยังไม่เพียงพอต่อความต้องการ และมองว่าความสำคัญสูงสุด คือคนไทยต้องออกมาให้ได้เร็วที่สุด ส่วนงานด้านเอกสารถือเป็นเรื่องรอง
ด้านเอกอัครราชทูตอิสราเอลฯ กล่าวว่า รัฐบาลอิสราเอลเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ความสูญเสียเกิดแก่ผู้บริสุทธิ์ โดยพร้อมให้ความช่วยเหลือประชาชนไทย และผู้บริสุทธิ์ทุกคน พร้อมจะดูแลทุกคนที่อยู่ในประเทศอิสราเอลเหมือนเป็นพลเมืองของตนเอง แต่ขอให้เข้าใจว่าอิสราเอลเผชิญกับสงครามในรูปแบบที่ไม่เคยเจอมาก่อน โดยอิสราเอลยินดีที่จะให้ความช่วยเหลือและร่วมมือกับรัฐบาลไทยเต็มที่ ท่ามกลางสถานการณ์และความท้าทายที่เกิดขึ้นนี้อย่างดีที่สุด
สำหรับกรณีคนงานที่เสียชีวิตจะต้องมีขั้นตอนในการพิสูจน์อัตลักษณ์ รวมทั้งเรื่องการขอรับเงินช่วยเหลือทดแทน ส่วนการอพยพคนงานนั้น ตอนนี้ได้อพยพคนที่อยู่ในพื้นที่อันตรายออกมา 4 กิโลเมตรจากพื้นที่อันตราย โดยอิสราเอลพร้อมให้เครื่องบินเดินทางออกได้ทุกเมื่อ เพื่อขนย้ายคนไปในที่ปลอดภัย โดยขณะนี้ 99% ของชาวต่างชาติได้ถูกอพยพออกจาก Red Zone แล้ว แต่ยังเหลือในพื้นที่อื่นๆ ต้องดูต่อไป
ส่วนกรณีคนงานไทยที่ถูกนายจ้างบังคับให้ทำงานต่อนั้น เอกอัครราชทูตอิสราเรลฯ รับทราบและจะไปหาข้อเท็จจริงโดยเร็ว ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้ขอให้นายจ้างลืมเรื่องผลประโยชน์ไปก่อน โดยขอให้เห็นความสำคัญด้านความปลอดภัยเป็นอันดับแรก เพราะสถานการณ์มีความเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ ที่สำคัญประเทศไทยไม่ได้มีส่วนในข้อพิพาทนี้ แต่กลับมีจำนวนผู้เสียชีวิตมากเป็นลำดับต้นๆ
"เอกอัครราชทูตอิสราเอล ได้ให้ความเชื่อมั่นว่า จะร่วมมือกับรัฐบาลไทยและให้ความช่วยเหลือทุกทางที่ทำได้ เพื่อช่วยเหลือคนไทย และในโอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีได้ขอให้นายจ้างชาวอิสราเอล ดูแลลูกจ้างชาวไทยทุกคนอย่างดีด้วย" โฆษกรัฐบาล ระบุ