นายสุรสีห์ กิตติมณฑล เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) กล่าวว่า หลังจัดตั้งศูนย์บริหารจัดการน้ำส่วนหน้าในพื้นที่เสี่ยงอุทกภัยภาคกลาง เมื่อวันที่ 4 ต.ค.66 ตลอดระยะเวลาที่ได้ดำเนินการมาประมาณเดือนครึ่ง คณะทำงานอำนวยการบริหารจัดการน้ำฯ ได้บูรณาการทำงานตาม 12 มาตรการรับมือฤดูฝนปี 2566 และ 3 มาตรการเพิ่มเติม เพื่อรองรับสภาวะเอลนีโญอย่างเคร่งครัดและเป็นเอกภาพ โดยมีการประชุมกันทุกวัน เพื่อติดตาม ประเมินสถานการณ์น้ำ และวางแผนบริหารจัดการน้ำ ตลอดจนจัดจราจรทางน้ำ เพื่อที่จะควบคุมการระบายน้ำท้ายเขื่อนเจ้าพระยาไม่ให้เกิน 1,800 ลูกบาศก์เมตร (ลบ.ม.)/วินาที จนสามารถบริหารจัดการมวลน้ำในพื้นที่ให้ผ่านพ้นไปด้วยดี บรรเทาผลกระทบที่เกิดขึ้นกับพื้นที่ชุมชน พื้นที่เกษตรกรรม ตลอดจนแก้ไขปัญหาที่ยากให้ผ่านพ้นไปได้อย่างน่าพอใจ
นอกจากนี้ ยังได้มีการลงพื้นที่ทำประชาคมรับฟังความเห็นในการรับน้ำเข้าไปกักเก็บไว้ในทุ่ง ซึ่งได้รับความร่วมมือจากเกษตรกรเป็นอย่างดี ทำให้สามารถบรรเทาปัญหาน้ำท่วมในพื้นที่เศรษฐกิจ และพื้นที่สำคัญ ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ขณะเดียวกันน้ำที่ปล่อยเข้าทุ่ง ยังช่วยตัดวงจรการระบาดของแมลงศัตรูข้าว ช่วยไล่หนู กำจัดวัชพืช และยังเป็นการเติมปุ๋ยธรรมชาติเพิ่มความอุดมสมบรูณ์ให้กับดิน รวมทั้งยังเป็นแหล่งเพาะพันธุ์ปลาอีกด้วย โดยสามารถรับน้ำเข้าทุ่งบางระกำ จนถึงปัจจุบันมีปริมาณน้ำจำนวน 368.21 ล้าน ลบ.ม. และ 10 ทุ่งเจ้าพระยาตอนล่าง มีปริมาณรวมกัน 326.50 ล้าน ลบ.ม.
เลขาธิการ สทนช.กล่าวว่า คณะทำงานอำนวยการบริหารจัดการน้ำฯ ยังได้ลงพื้นที่เพื่อสำรวจและชี้จุดกำจัดวัชพืช โดยเฉพาะผักตบชวาในพื้นที่คลองญี่ปุ่นเหนือ อ.บางปลาม้า จ.สุพรรณบุรี โดยได้บูรณาการหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกับภาคประชาชนจัดกิจกรรม Big cleaning day ขึ้นมา เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการระบายน้ำ พร้อมนำรถ Mobile Truck สนับสนุนการให้ข้อมูลสถานการณ์น้ำแก่ประชาชนในพื้นที่เพื่อเข้าใจสถานการณ์น้ำและเตรียมความพร้อมรับมือ
อย่างไรก็ตาม จากการประเมินสถานการณ์น้ำในขณะนี้ ตลอดจนปริมาณฝนตกในพื้นที่ลดลง ไม่ส่งผลกระทบต่อปริมาณน้ำในพื้นที่ ระดับน้ำล้นตลิ่งในลุ่มน้ำเจ้าพระยามีแนวโน้มลดลง รวมทั้งอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ ก็มีปริมาณน้ำลดลงอย่างต่อเนื่องเช่นกัน สามารถควบคุมและบริหารจัดการให้อยู่ในสภาวะปกติ
ที่ประชุมฯ จึงมีมติขอยุติการดำเนินงานของศูนย์บริหารจัดการน้ำส่วนหน้า ในพื้นที่เสี่ยงอุทกภัยภาคกลาง ตั้งแต่วันที่ 17 พ.ย.66 เป็นต้นไป โดย สทนช.จะนำข้อเสนอแนะของหน่วยงานต่างๆ ในคณะทำงานฯ และความเห็นของประชาชนไปวางแผนปรับปรุงการทำงานให้ดีขึ้น รวมถึงจะรายงานผลให้นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รองนายกรัฐมนตรี รับทราบอย่างเป็นทางการ ซึ่งหลังจากนี้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องจะเร่งดำเนินการการสำรวจ ตรวจสอบความเสียหาย และฟื้นฟูเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบโดยเร็วต่อไป
"ขณะนี้ได้เข้าสู่ฤดูหนาวแล้ว ฝนในพื่นที่ตอนบนเริ่มลดลง ขณะที่ภาคใต้มีแนวโน้มฝนตกเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะภาคใต้ฝั่งตะวันออก ตั้งแต่จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร ระนอง สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช สงขลา และ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ คือ นราธิวาส ยะลา ปัตตานี ซึ่งจะมีการพิจารณาจัดตั้งศูนย์บริหารจัดการน้ำส่วนหน้า ในพื้นที่เสี่ยงอุทกภัยภาคใต้ที่ จ.ยะลา เพื่อให้บริหารจัดการแก้ไขปัญหาน้ำในพื้นที่เป็นไปอย่างรวดเร็ว และมีประสิทธิภาพทันต่อสถานการณ์" นายสุรสีห์ กล่าว