กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) ได้ขยายผลในคดีหมูเถื่อน จำนวน 161 ตู้ มาอย่างต่อเนื่อง กระทั่งสามารถติดตามจับกุมผู้ต้องหากลุ่มบริษัทชิปปิ้งเอกชนได้ทั้งสิ้น 10 ราย และอยู่ระหว่างรวบรวมพยานหลักฐาน เตรียมขอศาลออกหมายจับอีก 2 บริษัท ได้แก่ บริษัท ศิขัณทิน เทรดดิ้ง จำกัด และบริษัท สมายล์ ท็อป เค เอ็นเตอร์ไพรส์ จำกัด เนื่องจากพบว่าทั้ง 2 แห่งนี้ มีส่วนเกี่ยวข้องกับการนำเข้าตู้หมูเถื่อน รวม 41 ตู้ มีเงินหมุนเวียนหลักพันล้านบาท และกรรมการบริษัท มีความเกี่ยวข้องกับข้าราชการฝ่ายการเมือง
โดยวันนี้ นายบริบูรณ์ ลออปักษิณ กรรมการผู้มีอำนาจลงนามของ 2 บริษัท ได้แก่ บริษัท ศิขัณทิน เทรดดิ้ง จำกัด และบริษัท สมายล์ ท็อป เค เอ็นเตอร์ไพรส์ จำกัด พร้อมด้วยทีมฝ่ายกฎหมาย ได้เดินทางเข้าพบ พ.ต.ต.ณฐพล ดิษฐธรรม ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านคดีคุ้มครองผู้บริโภคและสิ่งแวดล้อม และในฐานะหัวหน้าคณะพนักงานสอบสวน เพื่อแสดงความบริสุทธ์ใจ และให้ปากคำชี้แจงถึงการนำเข้าตู้หมูเถื่อน พร้อมปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา และพร้อมสู้คดี
ทั้งนี้ นายบริบูรณ์ ยืนยันว่า บริษัทฯ ได้ทำตามขั้นตอนถูกต้องทุกอย่าง ไม่เคยเกี่ยวข้องกับการนำเข้าหมูเถื่อน 161 ตู้ และเนื้อหมูของบริษัทฯ ทั้ง 41 ตู้ ก็ไม่ใช่เนื้อหมูเถื่อน แต่ถูกเจ้าหน้าที่ของหน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้องกลั่นแกล้ง ทำให้กลายเป็นตู้หมูเถื่อน จนทำให้เนื้อหมูที่บริษัทตนนำเข้ามาเพื่อเตรียมส่งขายไปยังประเทศที่สาม อาทิ กัมพูชา สปป.ลาว เป็นต้น ถูกอายัดตกเป็นของกลางในคดีของดีเอสไอ อีกทั้งยังมีการกล่าวอ้างว่าเนื้อหมูของบริษัทฯ ตน เป็นกลุ่มเดียวกับเนื้อหมูเถื่อนที่ได้มีการนำเข้าตั้งแต่ปี 2564 ซึ่งเป็นช่วงที่มีการแพร่ระบาดของโรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกร (African swine fever : ASF) จึงต้องถูกอายัดไว้ ที่ท่าเรือแหลมฉบัง จ.ชลบุรี ไม่ให้นำเปิดตู้ออกจำหน่าย จนนำไปสู่การทำลายฝังกลบ ทำให้ตนสูญเสียรายได้จำนวนมาก และสิ้นเนื้อประดาตัว
อย่างไรก็ตาม เมื่อวันที่ 6 มิ.ย.ที่ผ่านมา บริษัทฯ ได้ยื่นฟ้องต่อศาลปกครองกลาง โดยศาลปกครองกลางรับฟ้อง เป็นคดีเลขที่ดำที่ 1119/2566 ต่อมาศาลปกครองกลาง ได้เรียกผู้ถูกฟ้องคดีทั้งหมดเข้าชี้แจง แต่สุดท้าย หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้มีการร้องทุกข์กล่าวโทษมายังดีเอสไอว่า บริษัทของตนอยู่ในขบวนการลักลอบนำเข้าหมูเถื่อน 161 ตู้ จนเมื่อวันที่ 30 มิ.ย. ดีเอสไอรับเป็นคดีพิเศษที่ 59/2566 จึงเกิดปัญหาทั้งหมดขึ้น
บริษัทของตนทั้ง 2 แห่ง จึงได้ร้องขอความเป็นธรรมไปยังนายไชยา พรหมา รมช.เกษตรและสหกรณ์ เพราะว่าสินค้าของบริษัทฯ ได้ถูกสั่งเข้ามาเพื่อที่จะนำไปจำหน่ายแก่ประเทศที่สาม ถือเป็นการสร้างรายได้เข้ามายังประเทศ แต่ที่ผ่านมา กรมปศุสัตว์ มักจะกล่าวอ้างว่าไม่มีระเบียบใดที่สามารถนำเข้าและส่งออกไปยังประเทศที่สามได้ กรณีนี้ บริษัทฯ จึงได้แนบเอกสารและหลักวิธีการปฏิบัติที่เคยทำมาในอดีตของกรมปศุสัตว์ และเนื่องด้วยบริษัทของตน มีผู้รับซื้อปลายทางที่มีหลักแหล่ง และมีใบสั่งซื้อสินค้าที่ชัดเจน อีกทั้งทางบริษัทยังพบว่า กรมปศุสัตว์เคยพิจารณาอนุญาตให้มีการนำเข้าและส่งออกของผู้นำเข้ารายอื่น และแม้ว่ากรมปศุสัตว์จะกล่าวอ้างว่าบริษัทของตนมีการดำเนินการเรื่องเอกสารไม่ครบถ้วน แต่บริษัทได้โต้แย้งไปว่า เรามีเอกสารที่เกี่ยวข้องและระบุชัดเจนถึงการนำเข้าเพื่อเตรียมจำหน่ายประเทศที่สาม และการที่สินค้าของตนถูกทำลายไปแล้วนั้น ก็สร้างความเสียหายให้กับบริษัทเป็นอย่างมาก
"ดังนั้น การเข้าพบพนักงานสอบสวนคดีพิเศษในวันนี้ จึงประสงค์ให้การชี้แจงถึงข้อเท็จจริงทั้งหมด และแสดงความบริสุทธิ์ใจว่าสินค้าของบริษัทฯ ไม่ใช่เนื้อหมูเถื่อน และได้ปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา พร้อมสู้คดี" นายบริบูรณ์ กล่าว
พร้อมระบุว่า ที่ผ่านมา บริษัทของตน และกรมปศุสัตว์ เป็นคู่กรณีกันมาตั้งแต่ปี 2562 เพราะตนเคยร้องเรียนเรื่องคำสั่งที่ไม่ชอบของกรมปศุสัตว์ และได้เรียกร้องขอความเป็นธรรมไปยังกระทรวงที่กำกับดูแล จึงทำให้บริษัทของตน กลายเป็นเจ้าเดียวที่ไปเอาผิดกับกรมปศุสัตว์ จึงตกเป็นที่หมายหัว อีกทั้งที่ผ่านมา ยังพบว่ามีเจ้าหน้าที่ที่มีพฤติการณ์เรียกรับผลประโยชน์จากบรรดาผู้ประกอบการอีกด้วย
ทั้งนี้ บริษัทฯ ของตนได้มีการนำเข้าสินค้าหลายประเภท ทั้งประเภทอาหารแช่แข็ง ไม่เพียงแค่ชิ้นส่วนสุกรแช่แข็ง และก็ได้จำหน่ายไปยังประเทศที่สาม เช่น นำเข้าพริกจากอินเดียไปขายที่ลาว ก็สามารถดำเนินการได้ปกติ จนมาถูกกลั่นแกล้งดังกล่าว
นายบริบูรณ์ กล่าวว่า สำหรับตู้หมูได้นำเข้ามาจากประเทศต้นทาง เช่น ประเทศบราซิล บริษัทฯ ได้มีการสำแดงถูกต้องต่อกรมศุลกากร และยื่นเอกสารถูกต้องทุกประการ และไม่ได้มีเจตนานำเข้ามาเพื่อขายภายในประเทศไทย อยากให้มองว่าเป็นการสนับสนุนการสร้างรายได้เข้าประเทศ ส่วนเจ้าหน้าที่รัฐที่เกี่ยวข้อง ก็เป็นรองผู้บริหารระดับสูงของบางหน่วยงานกลั่นแกล้ง เพราะทราบว่ามีกระบวนการหาทุกวิถีทาง ไม่ให้บริษัทของตนนำสินค้าออกไปจำหน่าย
ขณะที่นายผดุงศักดิ์ เทียนไพโรจน์ ทนายความของนายบริบูรณ์ กล่าวว่า สำหรับข้อกล่าวหาที่ถูกแจ้งวันนี้ และได้ปฏิเสธ คือ ความผิดฐานนำของผ่าน หรือกำลังผ่านพิธีการศุลกากรเข้ามาในราชอาณาจักร โดยหลีกเลี่ยงข้อจำกัดเกี่ยวกับของนั้น ตาม พ.ร.บ.ศุลกากร พ.ศ. 2560 และความผิดฐานนำเข้าส่งออกหรือนำผ่านราชอาณาจักร ซึ่งสัตว์หรือซากสัตว์โดยไม่ได้รับอนุญาต ตาม พ.ร.บ.โรคระบาดสัตว์ พ.ศ. 2558
ส่วนเอกสารที่จะต้องนำมาแสดงต่อพนักงานสอบสวนในครั้งหน้า จะเป็นเอกสารที่ระบุถึงการนำสินค้าจากประเทศต้นทางเข้ามายังประเทศไทย และเจตนาที่จะนำออกจำหน่ายประเทศที่สาม รวมถึงเอกสารเกี่ยวกับการสำแดงสินค้าว่าถูกต้องอย่างไร เพื่อแสดงว่าไม่มีส่วนรู้เห็นในการกระทำความผิดตามข้อกล่าวหา และขอขอบคุณดีเอสไอที่ได้ให้พื้นที่ชี้แจงข้อเท็จจริง
ด้าน พ.ต.ต.ณฐพล กล่าวว่า ในสัปดาห์หน้า จะเริ่มปฎิบัติการเข้าตรวจค้นพื้นที่เป้าหมายคดีหมูเถื่อนต่อไป เพราะได้ตรวจพบขบวนการกลุ่มใหม่ขนาดใหญ่ ที่มีการลักลอบนำเข้าหมูกว่า 10,000 ตู้ โดยจะใช้รูปแบบตรวจค้นเหมือนเดิม เพื่อหาข้อมูลพยานหลักฐานมาประกอบสำนวน
ส่วนเรื่องกระแสข่าวที่ดีเอสไอจะเข้าตรวจค้นห้างโลตัสนั้น ขอยืนยันว่า ในคดีนี้โลตัสไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง และเราจะไม่ได้เข้าตรวจค้นแต่อย่างใด มีเพียงการดำเนินการกับห้างแม็คโครเท่านั้น