กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เตือนค่าฝุ่นสูงขึ้นระดับสีแดงในหลายพื้นที่ เผยผลอนามัยโพล ประชาชน 66% มีความกังวลว่า PM 2.5 จะส่งผลกระทบต่อสุขภาพตนเองและคนในครอบครัว ย้ำกลุ่มเสี่ยงต้องเฝ้าระวังเป็นพิเศษ
นพ.อรรถพล แก้วสัมฤทธิ์ รองอธิบดีกรมอนามัย สธ. เปิดเผยผลสำรวจอนามัยโพล ระหว่างวันที่ 1 พ.ย.-5 ธ.ค. 66 จากผู้ตอบจำนวน 1,303 คน พบว่า ประชาชนส่วนใหญ่ถึง 66% มีความกังวลว่า PM 2.5 จะส่งผลกระทบต่อสุขภาพตนเองและคนในครอบครัว โดยเห็นว่ากลุ่มเสี่ยงที่ต้องได้รับการดูแลก่อน ได้แก่ ผู้มีโรคประจำตัว 38% ผู้ทำงานกลางแจ้ง 19% และเด็กเล็ก 14%
โดยประชาชนส่วนใหญ่ 70% มีการเตรียมตัวดูแลสุขภาพของตนเองและคนในครอบครัว ด้วยการสำรองหน้ากากป้องกันฝุ่น รองลงมา ประชาชน 61% ทำความสะอาดบ้าน ล้างแอร์ และพัดลม และตามด้วย 49% ทำความเข้าใจค่าสี PM 2.5 และคำแนะนำการปฏิบัติตน
สำหรับมาตรการด้านสาธารณสุข กรณี PM 2.5 ที่ประชาชนต้องการมากที่สุด คือการให้ความรู้ ข้อมูลข่าวสาร ด้านสุขภาพ คิดเป็น 40% รองลงมา การเฝ้าระวังสถานการณ์และแจ้งเตือนความเสี่ยงต่อสุขภาพ คิดเป็น 18% และการบังคับใช้มาตรการทางกฎหมาย เพื่อควบคุมจัดการปัญหา PM 2.5
นพ.อรรถพล กล่าวว่า สำหรับกลุ่มเสี่ยงต้องเฝ้าระวังเป็นพิเศษ ได้แก่ เด็ก เนื่องจากหายใจเร็ว พฤติกรรมของเด็กชอบเล่นในที่กลางแจ้ง มีโอกาสรับฝุ่นปริมาณมาก สำหรับผู้สูงอายุ พบว่า ฝุ่น PM 2.5 เป็นสาเหตุของการเสียชีวิตเพิ่มเป็น 1.5 เท่า หญิงตั้งครรภ์จะมีความเสี่ยงต่อทารกในครรภ์ โดยเฉพาะในช่วงไตรมาสที่ 3 อายุครรภ์ 24-42 สัปดาห์ ถ้าได้รับฝุ่นมลพิษ อาจทำให้คลอดก่อนกำหนดได้ และกลุ่มที่มีโรคประจำตัว ได้แก่ โรคหัวใจ โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง และโรคหอบหืด ซึ่งผู้ป่วยโรคหอบหืด จะมีความไวต่อการกระตุ้นจาก ฝุ่น PM 2.5 หรือสารก่อภูมิแพ้เหล่านี้ ทำให้มีสมรรถภาพปอดลดลง และเกิดอาการกำเริบได้
ดังนั้น กลุ่มเสี่ยงดังกล่าว ควรสวมหน้ากากเพื่อป้องกันฝุ่น ควรเป็นหน้ากากอนามัยปกติ สำหรับหน้ากาก N95 หากต้องการใส่เพื่อป้องกันฝุ่น ไม่แนะนำให้ใส่ต่อเนื่องเป็นระยะเวลานาน เพราะหน้ากาก N95 ถูกออกแบบมาให้แนบสนิทกับใบหน้า ทำให้ต้องออกแรงหายใจมากขึ้น เมื่อใส่เป็นเวลานานๆ อาจทำให้รู้สึกอึดอัด หายใจไม่สะดวก แน่นหน้าอก เมื่อยล้า หรือปวดศีรษะได้
สำหรับสถานการณ์ฝุ่นละออง PM 2.5 วันนี้เวลา 07.00 น. ปริมาณ PM 2.5 วัดได้ 9.0-82.7 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร และพบว่าเกินมาตรฐานในทุกภาค ทั้งภาคเหนือ ภาคตะวันออก ภาคกลางและภาคตะวันตก ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และกรุงเทพมหานครและปริมณฑล
โดยสถานการณ์ PM 2.5 อยู่ในระดับสีส้ม เริ่มมีผลกระทบต่อสุขภาพ รวม 27 จังหวัด ได้แก่ ปทุมธานี นนทบุรี นครปฐม สมุทรสาคร สมุทรปราการ อุตรดิตถ์ สุโขทัย พิษณุโลก พิจิตร นครสวรรค์ อุทัยธานี ชัยนาท สิงห์บุรี ลพบุรี อ่างทอง สุพรรณบุรี พระนครศรีอยุธยา กาญจนบุรี ราชบุรี สมุทรสงคราม ชลบุรี ระยอง หนองคาย อุดรธานี ขอนแก่น กาฬสินธุ์ และยโสธร รวมทั้งกรุงเทพมหานคร
ขณะเดียวกัน พบ PM 2.5 อยู่ในระดับสีแดง มีผลกระทบต่อสุขภาพ 2 พื้นที่ ได้แก่ ตำบลมีชัย อำเภอเมือง จังหวัดหนองคาย และตำบลปากน้ำ อำเภอเมือง จังหวัดสมุทรปราการ และเวลา 12.00 น. ยังพบค่า PM 2.5 อยู่ในระดับที่มีผลกระทบต่อสุขภาพ (สีแดง) 2 พื้นที่ ได้แก่ ตำบลปากน้ำ อำเภอเมือง จังหวัดสมุทรปราการ และริมถนนมาเจริญ เพชรเกษม 81 เขตหนองแขม กรุงเทพฯ
สำหรับสาเหตุ เกิดจากการเผาพื้นที่ทางการเกษตร การคมนาคม ประกอบกับสภาพอากาศปิด อัตราการระบายอากาศไม่ดี ทำให้ฝุ่นละอองเกิดการสะสมในบรรยากาศ จนอยู่ในระดับที่มีผลกระทบต่อสุขภาพ