ศาลปกครองเชียงใหม่ อ่านคำพิพากษาคดีเครือข่ายประชาชนภาคเหนือ ฟ้องนายกรัฐมนตรี (พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา) และคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ โดยวินิจฉัยว่า ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 และผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 ละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติ หรือปฏิบัติหน้าที่ล่าช้าเกินสมควร ในการแก้ไขปัญหาฝุ่น PM2.5 แต่เนื่องจากสถานการณ์ปัญหาฝุ่น PM2.5 เกินค่ามาตรฐานในพื้นที่ภาคเหนือได้คลี่คลายลงแล้ว ตั้งแต่ช่วงเดือนพ.ค. 66 ศาลจึงไม่อาจกำหนดคำบังคับให้ผู้ถูกฟ้องคดีทั้ง 2 ปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวได้
อย่างไรก็ตาม ปัญหาฝุ่น PM2.5 เกินค่ามาตรฐานในพื้นที่ภาคเหนือ โดยมากจะเกิดขึ้นประจำในช่วงเดือนธ.ค. - เม.ย. ของทุกปีอย่างต่อเนื่อง และมีแนวโน้มว่าจะทวีความรุนแรงขึ้น เพื่อเป็นการป้องกันเหตุดังกล่าวไว้ก่อนทั้งระยะสั้นและระยะยาว ในรอบระยะเวลาข้างหน้าตามหลักการป้องกันล่วงหน้า (Preventive principle) และกฎหมายข้างต้น จึงมีเหตุผลเพียงพอที่ศาลจะพิพากษาให้ผู้ถูกฟ้องคดีทั้ง 2 ใช้อำนาจและปฏิบัติหน้าที่ตาม พ.ร.บ.ส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. 2535 กำหนดมาตรการ หรือจัดทำแผนฉุกเฉินที่มีประสิทธิภาพอย่างบูรณาการและยั่งยืน เพื่อป้องกัน ควบคุม แก้ไข บรรเทา หรือระงับภยันตรายอันเกิดจากฝุ่น PM2.5 ซึ่งเกินกว่าค่ามาตรฐาน และอยู่ในระดับที่มีผลกระทบต่อสุขภาพอนามัยของประชาชนในพื้นที่ภาคเหนือ ให้แล้วเสร็จภายใน 90 วัน นับแต่วันที่คำพิพากษาถึงที่สุด
คดีนี้ เกิดจากการรวมตัวกันของเครือข่ายประชาชนภาคเหนือ ตัวแทนผู้ฟ้องคดี ประกอบด้วย นักวิชาการมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ สภาลมหายใจเชียงใหม่ สภาลมหายใจภาคเหนือ และภาคประชาชน ดำเนินการฟ้องร้องนายกรัฐมนตรี และคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ต่อศาลปกครองเชียงใหม่ ตั้งแต่วันที่ 10 เม.ย.66 เนื่องจากล้มเหลวในการใช้อำนาจ ตามมาตรา 9 และมาตรา 13 ตาม พ.ร.บ.ส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม พ.ศ. 2535 และแผนปฏิบัติการขับเคลื่อนวาระแห่งชาติ "การแก้ไขปัญหามลพิษด้านฝุ่นละออง" (แผนฝุ่นชาติ) ในสถานการณ์ที่ค่าฝุ่น PM2.5 เข้าขั้นวิกฤต