2 ปีซ้อน! คุณภาพอากาศไทยปี 66 แย่ติดอันดับ 5 ในเอเชียตอ.เฉียงใต้

ข่าวทั่วไป Tuesday March 19, 2024 12:17 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

กรีนพีซ ประเทศไทย ระบุว่า จากรายงานคุณภาพอากาศโลกปี 66 ของ IQAir ประเทศไทยมีคุณภาพอากาศในระดับที่แย่เป็นอันดับที่ 5 จากทั้งหมด 9 ประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เป็นปีที่ 2 ติดต่อกัน และอยู่ในอันดับที่ 36 จาก 134 ประเทศทั่วโลก ซึ่งถือว่าคุณภาพอากาศแย่กว่าปี 65 ที่ประเทศไทยอยู่ในอันดับที่ 57 ของโลก

รายงานคุณภาพอากาศโลกปี 66 เป็นรายงานฉบับที่ 6 ซึ่ง IQAir จัดทำขึ้น ซึ่งมีการวิเคราะห์ผลโดยนักวิทยาศาสตร์เพื่อนำเสนอข้อมูลคุณภาพอากาศ PM2.5 จากสถานีตรวจวัดคุณภาพอากาศมากกว่า 30,000 สถานีใน 7,812 พื้นที่ ครอบคลุม 134 ประเทศ และภูมิภาค

สำหรับข้อค้นพบหลักในประเทศไทย ได้แก่

  • ประเทศไทยมีคุณภาพอากาศแย่เป็นอันดับที่ 36 ของโลก และอันดับที่ 5 ของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีปริมาณฝุ่นพิษ PM 2.5 เฉลี่ยรายปีที่ 23.3 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร โดยสูงกว่าค่าแนะนำคุณภาพอากาศของ WHO ถึง 4.7 เท่า
  • กรุงเทพฯ เป็นเมืองที่มีคุณภาพอากาศแย่เป็นอันดับที่ 37 ของเมืองที่มีมลพิษทางอากาศมากที่สุดของโลก มีปริมาณฝุ่นพิษ PM 2.5 เฉลี่ยรายปี 21.7 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร
  • จังหวัดเชียงราย และอำเภอปาย ในจังหวัดแม่ฮ่องสอน ถูกจัดอยู่ใน 5 อันดับแรกของพื้นที่ที่มีฝุ่นพิษ PM 2.5 แย่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
  • ประเทศไทยมีค่าเฉลี่ยฝุ่นพิษ PM 2.5 รายปีเพิ่มขึ้น 28% เมื่อเปรียบเทียบข้อมูลในปี 65 โดยเพิ่มจาก 18.1ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร เป็น 23.3 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร
  • ในปี 66 เดือนก.พ.-เม.ย. เป็นช่วงที่มีคุณภาพอากาศแย่ที่สุด โดยจังหวัดเชียงใหม่มีค่าเฉลี่ยฝุ่นพิษ PM 2.5 รายเดือนเพิ่มจาก 53.4 เป็น 106.4 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ซึ่งเพิ่มขึ้นกว่า 150% เมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยรายเดือนของช่วงเวลาเดียวกันในปี 65
*ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ตัวการสำคัญ

น.ส.รัตนศิริ กิตติก้องนภางค์ นักรณรงค์ด้านอาหารและป่าไม้ กรีนพีซ ประเทศไทย กล่าวว่า ฝุ่นพิษข้ามพรมแดนเป็นวิกฤตสุขภาพที่คุกคามประชาชนในภาคเหนือมาร่วม 20 ปี โดยปี 66 ที่ผ่านมาประชาชนในภาคเหนือต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าเป็นปีที่มีฝุ่นพิษเลวร้ายที่สุด จะเห็นได้จากข้อค้นพบในรายงานที่ระบุว่าในช่วงเดือนก.พ.-เม.ย. จังหวัดเชียงราย และแม่ฮ่องสอน มีตัวเลขค่าเฉลี่ยค่าฝุ่นพิษ PM 2.5 รายชั่วโมงพุ่งสูงสุดเกิน 300 AQI และกลายเป็นเมืองที่ติดอันดับมลพิษสูงสุดของโลก

ข้อมูลจากรายงานของกรีนพีซ ประเทศไทย เผยว่า การขยายตัวของข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ คือตัวการสำคัญในการขยายการลุงทุนข้ามแดนและพื้นที่เพาะปลูกในอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง ท้ายที่สุดก็ก่อฝุ่นพิษข้ามแดนกลับมายังไทย รัฐควรเร่งกำหนดให้พ.ร.บ.อากาศสะอาดมีระบบตรวจสอบย้อนกลับอย่างโปร่งใสตลอดห่วงโซ่อุปทา นและบังคับใช้กฎหมายที่สามารถเอาผิดอุตสาหกรรมเนื้อสัตว์ที่เชื่อมโยงกับฝุ่นพิษข้ามพรมแดนและการทำลายป่า เพราะนี่คือวิกฤตเร่งด่วนที่รัฐต้องให้ความสำคัญต่อสุขภาพของประชาชน มากกว่าผลกำไรของบริษัทอุตสาหกรรม

ด้านน.ส.อัลลิยา เหมือนอบ นักรณรงค์ด้านมลพิษทางอากาศ กรีนพีซ ประเทศไทย กล่าวว่า ในปี 66 ที่ผ่านมากรีนพีซ และองค์กรภาคีเครือข่ายภาคประชาชนร่วมกันรณรงค์ผลักดันกฎหมาย PRTR เพื่อให้เกิดการเปิดเผยข้อมูลการปล่อยสารมลพิษจากแหล่งกำเนิด เพื่อเป็นเครื่องมือสำคัญในการบริหารจัดการมลพิษอย่างมีประสิทธิภาพ

ทั้งนี้ เนื่องจากปัจจุบันหน่วยงานรัฐยังขาดฐานข้อมูลการปลดปล่อยสารมลพิษ (emission inventory) จึงทำให้การกำหนดนโยบายและแผนบริหารฝุ่นพิษ PM 2.5 ยังไม่มีประสิทธิภาพดีพอ เพราะไม่สามารถระบุได้ว่าแหล่งกำเนิดที่แท้จริงมาจากที่ใดบ้าง และมีปริมาณการปลดปล่อยมลพิษออกมามากน้อยเท่าใด มาตรการของรัฐที่เห็นจึงมุ่งเน้นไปที่การบริหารจัดการไฟป่า การเผาของภาคเกษตร และการจราจร ที่ใช้งบประมาณและทรัพยากรจำนวนมาก ในขณะที่ภาคอุตสาหกรรมที่เป็นหนึ่งในสาเหตุของการปล่อยมลพิษกลับถูกละเลยไปทั้งๆ ที่เป็นแหล่งกำเนิดที่ปล่อยมลพิษเกือบ 24 ชั่วโมงและตลอดทั้งปี

จากข้อมูลรายงานคุณภาพอากาศโลกปี 66 แสดงให้เห็นว่าภาครัฐจำเป็นต้องให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญหาฝุ่นพิษที่ต้นเหตุของแหล่งกำเนิด PM 2.5 อย่างจริงจัง โดยต้องกำหนดนโยบาย งบประมาณ และยกระดับให้เป็นวาระแห่งชาติ และต้องดำเนินการอย่างเร่งด่วน มีประสิทธิภาพ โดยคำนึงถึงผลประโยชน์ของประชาชนเหนือกลุ่มทุนอุตสาหกรรม เพราะการเข้าถึงอากาศสะอาดคือสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชน


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ