นายบัญชา สุขแก้ว อธิบดีกรมประมง เปิดเผยว่า กฎกระทรวงการขออนุญาตและการอนุญาตทำประมงพาณิชย์ พ.ศ.2567 ที่จะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 เม.ย.นี้ เป็นการใช้กฎหมายในการบริหารจัดการทรัพยากรให้เหมาะสมกับบริบททางการประมงของไทย ซึ่งจะช่วยแก้ไขปัญหาและบรรเทาความเดือดร้อนให้กับเรือประพาณิชย์จำนวนกว่า 9,000 ลำ
"เป็นการปรับปรุงแก้ไขกฎหมายและการบังคับใช้กฎหมายให้เหมาะสมควบคู่ไปกับการบริหารจัดการทรัพยากรประมงทะเลอย่างยั่งยืน ตามนโยบายที่นายกรัฐมนตรีให้ไว้" นายบัญชา กล่าว
เนื่องจากกฎหมายและข้อบังคับต่างๆ มีเจตนารมณ์ที่จะพลิกฟื้นอุตสาหกรรมประมงไทยให้กลับมาเป็นแหล่งรายได้ที่สำคัญของประเทศและประชาชน และการประมงทะเลมีเสถียรภาพ โดยเปลี่ยนมุมมองจากกฎหมายเป็นอุปสรรคเป็นรัฐสนับสนุน ไม่เป็นการลดประสิทธิภาพในการคงไว้ซึ่งการบริหารจัดการทรัพยากรให้เกิดความยั่งยืน และไม่กระทบกับหลักเกณฑ์ในการปฏิบัติตามมาตรฐานสากล โดยผู้ที่จะยื่นคำขอใบอนุญาตดังกล่าวสามารถส่งเอกสารหรือติดต่อและชำระค่าธรรมเนียมได้ทางจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ หรือสำนักงานประมงอำเภอ สำนักงานประมงจังหวัด 22 จังหวัดชายทะเล หรือสำนักงานประมงพื้นที่กรุงเทพฯ ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป
ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 19 มี.ค.ที่ผ่านมา คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นร่างกฎกระทรวงฉบับดังกล่าว เพื่ออำนวยความสะดวกและช่วยเหลือชาวประมงที่ได้รับผลกระทบจากพระราชกำหนดการประมง พ.ศ.2558 และกฎหมายลำดับรอง เนื่องจากกฎกระทรวงฯ พ.ศ.2562 ไม่สอดคล้องกับบริบทการทำการประมงของชาวประมงในปัจจุบัน ทั้งในเรื่องการกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการขออนุญาตและการอนุญาตให้ทำการประมงพาณิชย์ การโอนใบอนุญาตทำการประมงพาณิชย์ การโอนใบอนุญาตในลักษณะควบรวมปริมาณสัตว์น้ำ การแก้ไขรายการในใบอนุญาต และการยกเลิกสิทธิ์การทำการประมง ประกอบกับในข้อเท็จจริงปรากฏว่าในแต่ละรอบปีการประมงจะมีเรือประมงที่ไม่ได้รับอนุญาตทำการประมงและไม่สามารถออกไปทำประมงได้ หรือมีใบอนุญาตทำการประมงแต่ไม่สามารถออกไปทำประมงได้จากสาเหตุหรือปัจจัยบางประการ เช่น ปัญหาข้อกฎหมายที่เป็นอุปสรรค ปัญหาการขาดแคลนแรงงานบนเรือประมง ปัญหาราคาสัตว์น้ำตกต่ำ ฯลฯ ทำให้เกิดความไม่คุ้มทุนในการออกเรือ และเป็นเหตุทำให้ชาวประมงไม่ได้ออกเรือไปทำประมง ส่งผลให้เรือที่จอดอยู่เกิดการชำรุดทรุดโทรม สภาพเรือไม่มีความพร้อมหรือไม่เหมาะสมและไม่เป็นไปตามมาตรฐานที่จะได้รับการรับรองมาตรฐานด้านสุขอนามัยในเรือประมง (สร.3)
สาระสำคัญของกระทรวงฉบับดังกล่าว ได้แก่
1.ขยายระยะเวลาให้ชาวประมงสามารถชำระค่าธรรมเนียมค่าอากรตามที่กำหนดเดิมต่อไปได้อีก 90 วันตามความจำเป็น เป็นการช่วยเหลือชาวประมงบางส่วนที่มีเหตุให้ไม่สามารถจ่ายเงินในเวลาที่กำหนดคือวันที่ 31 มี.ค.67 มีโอกาสได้รับใบอนุญาตทำการประมงได้ โดยสามารถยื่นเรื่องขอขยายระยะเวลาได้ถึงวันที่ 29 มิ.ย.67
2.ให้นำเรือประมงลำอื่นมาทดแทนได้กรณีเรือลำเดิมที่ได้รับใบอนุญาตแล้วจม อับปาง หรือไฟไหม้ทั้งลำ อันเป็นเหตุให้ถูกเพิกถอนทะเบียนเรือไทย รวมถึงกรณีเรือประมงที่ได้รับใบอนุญาตชำรุดทรุดโทรม เป็นการช่วยเหลือให้ชาวประมงผู้ได้รับใบอนุญาตมีโอกาสที่จะหาเรือประมงลำอื่นมาใช้ในการประกอบอาชีพต่อไปได้
3.ให้สามารถเพิ่มวิธีการในการดำเนินการนำเรือออกจากระบบ กับเรือที่นำมาควบรวมใบอนุญาตให้สามารถใช้หลักฐานการถอนทะเบียนเรือจากกรมเจ้าท่ามาอ้างอิงได้เลย ซึ่งเป็นการเพิ่มทางเลือกให้กับชาวประมงได้มากขึ้น
4.ให้ผู้ได้รับใบอนุญาตทำการประมงพาณิชย์สามารถเพิ่มเครื่องมือทำการประมงเพิ่มเติมได้ ทำให้ชาวประมงได้มีโอกาสในการปรับเปลี่ยนเครื่องมือให้สอดคล้องกับฤดูกาลและบริบทที่เกิดขึ้นในปัจจุบันได้
5.กรณีผู้รับอนุญาตทำการประมงพาณิชย์เสียชีวิต คู่สมรสหรือทายาทของผู้รับอนุญาตสามารถมาขอรับโอนใบอนุญาตได้ โดยไม่จำเป็นต้องได้รับการโอนกรรมสิทธิ์จากเจ้าของเรือก่อน หรือต้องมีคำสั่งศาลเป็นผู้จัดการมรดก เป็นการช่วยลดภาระให้กับชาวประมง และลดระยะเวลาในการดำเนินการอีกด้วย 6.ให้ลดเอกสารบางรายการที่ไม่จำเป็นที่หน่วยงานรัฐสามารถตรวจสอบความถูกต้องได้ระหว่างหน่วยงานและไม่เกี่ยวข้องกับการขอรับอนุญาต เช่น หนังสือรับรองมาตรฐานด้านสุขอนามัยในเรือประมง (สร.3) และเอกสารการแสดงความเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์เรือ ฯลฯ เป็นการช่วยลดภาระให้ชาวประมง 7.ให้ผ่อนปรนหลักการเดิมให้ผู้รับอนุญาตสามารถขอย้ายพื้นที่ทำการประมงจากอ่าวไทยไปอันดามัน หรือจากอันดามันมาอ่าวไทยได้ โดยไม่กระทบต่อปริมาณสัตว์น้ำสูงสุดที่สามารถทำการประมงได้อย่างยั่งยืน เป็นการเพิ่มหลักการให้สอดคล้องกับบริบทการทำประมงของชาวประมงมากขึ้น