นายชูชาติ รักจิตร อธิบดีกรมชลประทาน กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่า การบริหารจัดการน้ำในช่วงฤดูแล้งที่ผ่านมา (ตั้งแต่ 1 พ.ย. 66-30 เม.ย. 67) ทั้งประเทศมีการใช้น้ำเป็นไปตามแผนการจัดสรรน้ำที่วางไว้ ไม่ว่าจะเป็นด้านการอุปโภคบริโภค รักษาระบบนิเวศ ตลอดจนการเพาะปลูกพืชฤดูแล้ง ที่ปัจจุบันมีการเก็บเกี่ยวแล้วเกือบ 100%
สำหรับสถานการณ์น้ำ ปัจจุบัน (1 พ.ค. 67) อ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่และขนาดกลางทั่วประเทศ มีปริมาณน้ำรวมกันทั้งสิ้น 41,765 ล้านลูกบากศ์เมตร (ลบ.ม.) เฉพาะลุ่มน้ำเจ้าพระยา มีปริมาณน้ำรวมกันประมาณ 11,256 ล้าน ลบ.ม.
โดยได้มีการวางแผนจัดสรรน้ำในช่วงฤดูฝน 2567 (1 พ.ค.-31 ต.ค. 67) เพื่อการอุปโภคบริโภค รักษาระบบนิเวศ การเกษตร และอื่นๆ ทั้งประเทศรวมทั้งสิ้น 14,821 ล้าน ลบ.ม. เฉพาะลุ่มน้ำเจ้าพระยา มีแผนจัดสรรน้ำไว้ประมาณ 4,949 ล้าน ลบ.ม. ซึ่งกรมชลประทานส่งน้ำสนับสนุนการเพาะปลูกข้าวนาปีในพื้นที่ลุ่มต่ำ เพื่อให้เกษตรกรสามารถเริ่มเพาะปลูกข้าวได้ตั้งแต่วันที่ 1 พ.ค. และเก็บเกี่ยวผลผลิตก่อนฤดูน้ำหลากจะมาถึง ลดผลกระทบจากปัญหาน้ำท่วม ผลผลิตเสียหายได้เป็นอย่างมาก
ทั้งนี้ กรมอุตุนิยมวิทยา คาดการณ์ว่าประเทศไทยจะเข้าสู่ฤดูฝนในช่วงสัปดาห์ที่ 4 ของเดือนพ.ค. 67 และในช่วงกลางเดือนมิ.ย. จนถึงกลางเดือนก.ค. อาจเกิดภาวะฝนทิ้งช่วงหรือฝนตกน้อย อาจทำให้เกิดปัญหาขาดแคลนน้ำได้ในบางพื้นที่ โดยเฉพาะพื้นที่นอกเขตชลประทาน จึงขอให้เกษตรกรใช้น้ำฝนเป็นหลักในการทำการเกษตร เมื่อกรมอุตุนิยมวิทยาประกาศเข้าสู่ฤดูฝน เพื่อช่วยประหยัดการใช้น้ำจากอ่างเก็บน้ำ รวมทั้งสำรองน้ำไว้ในช่วงฝนทิ้งช่วง
ส่วนในช่วงเดือนส.ค.-ต.ค. 67 คาดว่าจะมีฝนตกชุกหนาแน่น และอาจเกิดพายุหมุนเขตร้อน ที่จะส่งผลให้เกิดฝนตกหนักถึงหนักมากในหลายพื้นที่ อาจเกิดน้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลาก รวมถึงน้ำล้นตลิ่งได้
กรมชลประทาน ได้กำชับให้โครงการชลประทานทั่วประเทศ เฝ้าระวังติดตามสถานการณ์น้ำอย่างใกล้ชิด พร้อมกับบริหารจัดการน้ำในอ่างเก็บน้ำต่างๆ ให้สามารถรองรับปริมาณน้ำฝนที่จะตกลงมา การระบายน้ำที่เหมาะสมกับสถานการณ์ รวมไปถึงหมั่นตรวจสอบอาคารชลประทาน ให้อยู่ในสภาพพร้อมใช้งานได้ตลอดเวลา
นอกจากนี้ ยังให้ตรวจสอบเส้นทางการระบายน้ำ กำจัดสิ่งกีดขวางทางน้ำอย่างสม่ำเสมอ พร้อมปฏิบัติตาม 10 มาตรการรับมือฝนปี 67 ตามที่คณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (กนช.) เห็นชอบอย่างเคร่งครัด เพื่อให้สามารถรับมือฤดูฝนที่กำลังจะมาถึงนี้ ได้อย่างเต็มศักยภาพ ตามนโยบายของรัฐบาล และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์