นายไพโรจน์ โชติกเสถียร ปลัดกระทรวงแรงงาน กล่าวภายหลังการประชุมคณะกรรมการไตรภาคีว่า จากการที่รัฐบาลเตรียมประกาศปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำวันละ 400 บาททั่วประเทศ โดยจะให้มีผลตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค.67 ทำให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ว่าเป็นการชี้นำให้คณะกรรมการไตรภาคีกลายเป็นเครื่องมือของฝ่ายการเมืองนั้น ที่ประชุมฯ ได้พิจารณาแล้วมีความเห็นว่า การพิจารณาปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำนั้น คณะอนุกรรมการแต่ละจังหวัด จะเป็นผู้พิจารณาว่าสมควรที่จะมีการปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำเป็นวันละเท่าไร มีกิจการใดบ้างที่สมควรปรับขึ้นค่าจ้าง และสมควรที่จะมีการปรับขึ้นในวันที่ 1 ต.ค.67 หรือไม่
"เราถือว่าไตรภาคีตัดสินใจดำเนินการภายใต้บริบทที่ไม่มีอาณัติสัญญาณใดมาแทรกแซง โดยให้เกียรติทางอนุกรรมการจังหวัดพิจารณาก่อนโดยอิสระ ตามสภาพเศรษฐกิจ ภาวะเงินเฟ้อ ราคาสินค้าในจังหวัดนั้นๆ เพราะบริบทในแต่ละจังหวัดไม่เท่ากัน โดยให้ดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในเดือนกรกฎาคม แล้วมาเสนอให้อนุฯ กลั่นกรอง และคณะกรรมการชุดใหญ่มาเคาะตัวเลขอีกครั้ง ให้เป็นไปตามไทม์ไลน์ที่กำหนดไว้" นายไพโรจน์ กล่าว
พร้อมระบุว่า ในฐานะที่ภาครัฐเป็นคนกลาง ตนพยายามดำเนินการให้เหมาะสม ถูกต้องตามกฎหมาย ตรงตามความต้องการของทั้งฝ่ายนายจ้าง และลูกจ้าง เพราะบางธุรกิจมีต้นทุนน้อย บางธุรกิจต้องการค่าจ้างสูงกว่าวันละ 400 บาท ดังนั้นจึงต้องมีการพิจารณาให้รอบด้าน
"ขอยืนยันว่า ไม่ได้ดำเนินการเพื่อตอบสนองฝ่ายการเมือง แต่ดูตามความจำเป็น ระยะเวลา และเหตุผล อาจจะไม่ถึง 400 หรืออาจจะเกิน 400 ก็ได้ ขึ้นอยู่กับบริบทของแต่ละจังหวัด" นายไพโรจน์ กล่าว
สำหรับคณะกรรมการไตรภาคี จะมีการนัดประชุมครั้งต่อไป ซึ่งจะเกิดขึ้นก่อนเดือน ก.ค.67 โดยที่ประชุมจะพิจารณาในประเด็นอื่นๆ ไปก่อน เช่น การปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำนั้น จะขึ้นเฉพาะลูกจ้างที่อยู่ในระบบประกันสังคมหรือไม่, กรอบเวลาที่จะปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ ควรจะเป็นเมื่อใด โดยคณะอนุกรรมการกลั่นกรองจะมีการตรวจสอบข้อมูลก่อน เพื่อนำเสนอให้ที่ประชุมชุดใหญ่พิจารณาตัดสินใจอีกครั้ง