น.ส.เกณิกา อุ่นจิตร์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติให้ความเห็นชอบแนวทางการดำเนินการที่เหมาะสมของโครงการท่าเทียบเรือ เอ 0 ท่าเรือแหลมฉบัง โดยให้มีสัญญามีผลใช้บังคับต่อไปตามรายงานผลการศึกษาวิเคราะห์ด้านการเงินและด้านกฎหมายตามที่คณะกรรมการพิจารณากำหนดแนวทางการดำเนินโครงการลงทุนบริหารและประกอบการท่าเทียบเรือ เอ 0 และท่าเรือแหลมฉบังเสนอ
"ที่ประชุม ครม.เห็นชอบตามแนวทางที่เสนอ เนื่องจากเห็นว่าการยกเลิกหรือแก้ไขสัญญาอาจนำมาสู่ข้อพิพาทจนทำให้บริการสาธารณะหยุดลงและส่งผลกระทบต่อประชาชนได้" น.ส.เกณิกา กล่าว
เนื่องจากเมื่อวันที่ 10 ส.ค.53 ครม.มอบหมายให้กระทรวงคมนาคมตรวจสอบความถูกต้องและครบถ้วนในการดำเนินการตามกฎหมายของโครงการท่าเทียบเรือ หากพบว่าโครงการใดมีมูลค่าโครงการเกินกว่า 1,000 ล้านบาทให้ดำเนินการตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการให้เอกชนเข้าร่วมงานหรือดำเนินการในกิจการของรัฐ พ.ศ.2535
ซึ่งผลตรวจสอบพบว่า โครงการดังกล่าวการท่าเรือแห่งประเทศไทย (กทท.) ทำสัญญาลงทุน บริหาร และประกอบการท่าเทียบเรือ เอ 0 (สัญญาลงทุนฯ) กับบริษัท แอล ซี เอ็ม ที จำกัด มีกำหนดระยะเวลา 30 ปี เริ่มมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 พ.ย.47 ถึงวันที่ 31 ต.ค.77 และเป็นโครงการท่าเทียบเรือที่มีมูลค่าเกิน 1,000 ล้านบาท จึงต้องดำเนินการตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ พ.ศ.2556 ตามที่มาตรา 72 บัญญัติไว้ให้ต้องปฏิบัติตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการให้เอกชนเข้าร่วมงานหรือดำเนินการในกิจการของรัฐ พ.ศ.2535 แต่มิได้ดำเนินการหรือดำเนินการไม่ถูกต้องหรือครบถ้วนในขั้นตอนใดให้รัฐมนตรีกระทรวงเจ้าสังกัดแต่งตั้งคณะกรรมการคณะหนึ่ง เพื่อพิจารณากำหนดแนวทางการดำเนินการที่เหมาะสม ซึ่งรวมถึงการยกเลิก การแก้ไขสัญญา และการให้สัญญามีผลใช้บังคับต่อไป
ดังนั้น กทท.จึงว่าจ้างที่ปรึกษาเพื่อจัดทำรายงานวิเคราะห์ด้านกฎหมายและด้านการเงินของโครงการดังกล่าว ซึ่งที่ปรึกษาเห็นควรให้สัญญาลงทุนฯ มีผลใช้บังคับต่อไปจนสิ้นสุดสัญญา เนื่องจากโครงการท่าเทียบเรือ เอ 0 มีอัตราผลตอบแทน (Internal rate of return: IRR) สูงกว่าที่ กทท.คาดหวัง อีกทั้งการยกเลิกหรือแก้ไขสัญญาอาจนำมาสู่ข้อพิพาทจนทำให้บริการสาธารณะหยุดลงและส่งผลกระทบต่อประชาชนได้ ทั้งนี้คณะกรรมการตามมาตรา 72 ดังกล่าวมีมติเห็นชอบการให้สัญญามีผลใช้บังคับต่อไปด้วยแล้ว
อย่างไรก็ตาม เมื่อสัญญาลงทุนฯ จะสิ้นสุดในวันที่ 31 ต.ค.77 ซึ่งตามนัยมาตรา 49 แห่ง พ.ร.บ.การร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน พ.ศ.2562 บัญญัติให้หน่วยงานเจ้าของโครงการจัดทำแนวทางการดำเนินโครงการต่อเนื่องจากโครงการร่วมลงทุนภายหลังจากสัญญาร่วมลงทุนสิ้นสุด โดยเปรียบเทียบกรณีที่หน่วยงานของรัฐดำเนินการเองและกรณีที่ให้เอกชนร่วมลงทุนเสนอรัฐมนตรีกระทรวงเจ้าสังกัดอย่างน้อย 5 ปี ก่อนที่สัญญาร่วมลงทุนจะสิ้นสุดลง
ดังนั้นกระทรวงคมนาคมและ กทท.จึงควรศึกษาแนวทางการดำเนินโครงการที่เป็นไปได้และเหมาะสมสำหรับสัญญาลงทุนดังกล่าวเพื่อเตรียมความพร้อมก่อนที่สัญญาลงทุนฯ จะสิ้นสุดลง โดยดำเนินการให้เป็นไปตามขั้นตอนที่กำหนดไว้ใน พ.ร.บ.การร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน พ.ศ.2562 อย่างเคร่งครัด ทั้งนี้ให้คำนึงถึงประโยชน์ของรัฐ ความต่อเนื่องในการให้บริการสาธารณะ และผลกระทบต่อประชาชนเป็นสำคัญ