น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กล่าวก่อนการประชุมคณะกรรมการป้องกันปัญหาความปลอดภัยทางถนนว่า เหตุการณ์เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 67 เป็นเหตุการณ์ที่น่าสลดใจ ทำให้รัฐบาลต้องกลับมามองทุกกรอบอีกครั้ง โดยเฉพาะการบังคับใช้กฎหมายเพื่อให้เกิดความปลอดภัยทางถนน รวมทั้งกฎหมายหลายฉบับที่ไม่ทันสมัย ต้องมีการพูดคุยหารือเพื่อปรับแก้กฎหมาย ข้อบังคับใช้ ต่าง ๆ ให้เข้ากับยุคสมัย
นายกรัฐมนตรี กล่าวต่อว่า อยากให้ทุกภาคส่วนร่วมมือกัน โดยเฉพาะโครงการร่วมกับทางสหประชาชาติ (UN) ที่จะเข้ามาทำกิจกรรมร่วมกันในช่วงเดือนพ.ย. นี้ และจะมีการประชาสัมพันธ์ให้ทั่วโลกได้เห็น ถึงการคมนาคม การใช้รถใช้ถนน ระบบความปลอดภัยต่าง ๆ โดยเฉพาะการมีส่วนร่วมของภาคเอกชน ซึ่งจะมีการประชุมเชิงปฏิบัติการความร่วมมือระหว่างภาคเอกชนกับภาครัฐ ผู้ประกอบการที่เป็นภาคเอกชน จะได้บอกได้ว่าปัญหาจริง ๆ ที่พบคืออะไร ต้องการให้รัฐบาลช่วยเหลืออย่างไร หรือมองเห็นสิ่งที่จะพัฒนาร่วมกันได้อย่างไร
นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ ที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี เปิดเผยผลการหารือเรื่องความปลอดภัยทางถนนว่า ที่ประชุมเห็นชอบการดำเนินการของกระทรวงคมนาคมที่ได้ตั้งคณะกรรมการฯ จากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรวมถึงผู้เชี่ยวชาญด้านวิศวกรรม เพื่อกำหนดแนวทางแก้ไขปัญหายกระดับรถโดยสารสาธารณะอย่างเร่งด่วนภายใน 15 วัน
พร้อมทั้งมอบหมายกรมการขนส่งทางบก เรียกตรวจสอบสภาพรถโดยสารสาธารณะที่ติดตั้งแก๊ส NGV ซึ่งจากข้อมูลมีทั้งหมด จำนวน 13,426 คัน ประกอบด้วย รถบัสจ้างเหมา จำนวน 1,336 คัน รถบัสประจำทาง จำนวน 5,967 ค้น และรถตู้/รถมินิบัส จำนวน 6,123 คัน หากพบสภาพไม่พร้อมใช้งานให้สั่งห้ามการนำรถออกใช้งาน หากพร้อมใช้งานให้ออกหนังสือรับรองจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยการตรวจสอบต้องตรวจสอบอย่างละเอียด คำนึงถึงความปลอดภัยเป็นสำคัญ
นายจิรายุ กล่าวว่า นายกรัฐมนตรี ยังได้ขอให้ทุกหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัด ให้เร่งดำเนินการตรวจสอบสภาพรถ เพื่อสร้างความมั่นใจต่อประชาชน และสร้างความปลอดภัยต่อการใช้รถใช้ถนนด้วย