พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รอง ผบ.ตร.) รักษาราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รรท.ผบ.ตร.) เผยความคืบหน้าการตรวจสอบบริษัท ดิไอคอนกรุ๊ป จำกัด (The iCon Group Co., Ltd.) ว่า ตั้งแต่เมื่อวาน (10 ต.ค.) ต่อเนื่องถึงวันนี้มีประชาชนที่ระบุว่าเป็นผู้เสียหายเดินทางมาร้องทุกข์กับเจ้าหน้าที่ตำรวจที่กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลางประมาณ 120 ราย ความเสียหายรายละ 200,000-500,000 บาท รวมมูลค่าความเสียหายประมาณ 50 ล้านบาท โดยขณะนี้คณะทำงานได้รับพยานเอกสารของประชาชน ในส่วนของหลักฐานการติดต่อ การชักชวนไปร่วมลงทุนธุรกิจและตัวอย่างสินค้า รวบรวมไว้ที่กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลางเรียบร้อยแล้ว
"จะเป็นการประกอบธุรกิจขายตรงคล้ายกันกับบริษัทใหญ่ที่เป็นที่รู้จักหรือไม่ ส่วนนี้เจ้าหน้าที่จะต้องตรวจสอบการจดทะเบียนขออนุญาตการประกอบกิจการ เพราะธุรกิจขายตรงต้องมีการจดทะเบียนขออนุญาต รวมถึงต้องสอบถามตัวแทนขายว่าลักษณะการไปอบรม การนำทรัพย์สินไปใช้ในธุรกิจดังกล่าวมีลักษณะใดเป็นไปอย่างถูกต้องตามกฎหมายธุรกิจขายตรงหรือไม่" พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ กล่าว
พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ กล่าวว่า ต้องยอมรับว่าลักษณะธุรกิจขายตรงกับแชร์ลูกโซ่มีเส้นบาง ๆ กั้นอยู่ ทางคณะตำรวจที่ทำงานจะต้องพยายามรวบรวมข้อเท็จจริง สรุปวินิจฉัยอย่างรอบคอบ ซึ่งภายในวันนี้จะพยายามระบุข้อหาความผิดให้ได้ว่าผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องถูกกล่าวหาความผิดเรื่องใดบ้าง
โดยในชั้นแรกจะมุ่งไปที่ตัวผู้ประกอบการ (ผู้บริหารบริษัท) ก่อนว่ากระทำผิดประเภทไหน จากนั้นจึงเป็นการพิจารณาบุคคลที่เกี่ยวข้องว่าเข้าข่ายลักษณะความผิดของตัวการด้วยหรือเป็นเพียงผู้เข้าร่วม
ส่วนกรณีที่มีผู้เกี่ยวข้องบางรายเคลื่อนไหวผ่านทางโซเชียลหรือแถลงข่าวว่าไม่ได้เป็นกรรมการหรือผู้บริหารบริษัทนั้น ทุกคนมีสิทธิ์ที่จะให้การและกล่าวอ้างได้ทั้งหมด แต่เจ้าหน้าที่ต้องยึดถึงคำให้การของผู้เสียหายด้วยว่าที่ผ่านมาบุคคลเหล่านั้นมีพฤติการณ์อย่างไรบ้างในบริษัท กระบวนการของตำรวจคือการสอบสวนรวบรวมพยานหลักฐาน ถ้าพบว่ากระทำความผิดก็จะมีการแจ้งข้อกล่าวหา แต่ตราบใดที่เรื่องไปถึงศาลและศาลยังไม่พิพากษาว่าเป็นผู้ต้องหา พวกเขาก็จะเป็นผู้บริสุทธิ์ แต่ขณะนี้เราทำงานอย่างเต็มที่เพราะเรารู้ว่าพี่น้องประชาชนกำลังเดือดร้อนจากเหตุการณ์นี้
"คดีในอดีตคือบทเรียน บางทีตำรวจก็ถูกฟ้อง ผมจึงกำชับว่าให้ทำอย่างรอบคอบและเป็นไปตามกฎหมายอย่างแท้จริง พนักงานสอบสวนจึงจำเป็นต้องใช้ความละเอียดรอบคอบ ในเหตุที่เกิดข้อเท็จจริงที่ปรากฏรายละเอียดของเหตุการณ์ที่ผู้เสียหายแต่ละท่านได้ถูกกระทำ" พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ กล่าว
ทั้งนี้ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้ส่งหนังสือไปถึงสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ระบุถึงพฤติการณ์ผู้บริหารบริษัทดังกล่าวประกอบกับคำให้การผู้เสียหายแล้ว ตนได้พูดคุยกับเลขาธิการ ปปง.โดยตรงว่าเรื่องนี้ตำรวจมีหน้าที่สอบสวนแต่ไม่มีอำนาจยึดทรัพย์ใคร เพียงแต่ตำรวจมองว่าประชาชนกำลังเดือดร้อน ดังนั้นผู้ที่ถูกกล่าวหาอาจจะกระทำความผิด
พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ กล่าวว่า ข้อห่วงใยจากตำรวจคือขอให้เร่งรัดในการพิจารณายุติการดำเนินธุรกรรมทางการเงินของผู้บริหาร และวันนี้จะมีการประชุมระหว่าง ปปง. สคบ. และ ตร. เพื่อติดตามความคืบหน้า โดยหนังสือที่ส่งถึง ปปง.มีความครบถ้วนรอบคอบแล้ว เป็นความคิดที่ตำรวจเข้าใจถึงความเดือดร้อนของประชาชนจากกรณีที่คิดว่าถูกหลอกลวงทรัพย์สินเงินทอง
กรณีดาราที่มีส่วนจูงใจให้ประชาชนตัดสินใจมาร่วมลงทุน แต่ปฏิเสธไม่ได้เป็นฝ่ายบริหารนั้น ถ้ามีข้อเท็จจริงที่ได้พาดพิงถึงใคร เจ้าหน้าที่จะเรียกมาสอบสวนทั้งหมด หากพบว่าพฤติการณ์ดังกล่าวมีส่วนร่วมในการกระทำความผิดจะต้องถูกแจ้งข้อกล่าวหาด้วย แม้บุคคลนั้นจะไม่มีตำแหน่งในบริษัท แต่มีพฤติการณ์ความผิด ทั้งนี้มีการเตรียมการป้องกันเรื่องการหลบหนีออกนอกประเทศ หากมีการดำเนินคดีกับผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมด