นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย วาตภัย และดินโคลนถล่ม (ศปช.) และ ศปช.ส่วนหน้า กล่าวถึงความคืบหน้าการช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากแม่น้ำปิงในพื้นที่ภาคเหนือ หลังมวลน้ำเคลื่อนตัวจาก จ.เชียงใหม่ ไปยัง จ.ลำพูน จนทำให้ระดับน้ำท่วมสูง บางจุดมีน้ำขังจนทำให้ประชาชนและเกษตรกรเริ่มได้รับผลกระทบจากน้ำที่เริ่มเน่าเสียนั้น
ที่ประชุม ศปช.ได้สั่งการให้กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย พร้อมด้วยกรมชลประทานระดมเครื่องสูบน้ำ เครื่องผลักดันน้ำเข้าพื้นที่เพิ่มเติม ซึ่งก่อนหน้านี้ บริเวณ บ้านสบปะ ต.ริมปิง มีเครื่องสูบน้ำติดตั้ง 3 เครื่อง และ บ้านป่าไผ่ ต.หนองช้างคืน มีเครื่องสูบน้ำติดตั้ง 2 เครื่อง ล่าสุดสำนักงานชลประทานที่ 1 ได้นำเครื่องสูบน้ำไปติดตั้งเพิ่มเติมคาดว่าจะใช้เวลา 3 วัน ทั้ง 2 จุดนี้จะเข้าสู่ภาวะปกติ
ก่อนหน้านี้ นายสันติธร ยิ้มละมัย ผู้ว่าราชการจังหวัดลำพูน ได้ขอรับการสนับสนุนกำลังพลและเรือผลักดันน้ำจากกองทัพจำนวน 20 ลำ โดย 10 ลำแรกนำไปติดตั้งไว้บริเวณสะพานข้ามแม่น้ำปิง สะพานเฉลิมพระเกียรติ 2540 จุดเชื่อมต่อระหว่าง อ.ป่าซาง จ.ลำพูน และ อ.ดอยหล่อ จ.เชียงใหม่ ส่วนอีก 10 ลำ ติดตั้งบริเวณ สะพานศรีบุญยืน อ.เมือง จ.ลำพูนโดยกองทัพเรือติดตั้งแล้วเสร็จเมื่อคืนที่ผ่านมา ซึ่งทั้ง 2 จุดได้เดินเครื่องเต็มศักยภาพเพื่อเร่งระบายที่ตกค้างในพื้นที่ ต.เหมืองง่า อ.เมือง จ.ลำพูน โดยคาดว่าภายในวันที่ 15 ต.ค.จะสามารถระบายน้ำออกจากพื้นที่ จ.ลำพูนได้ทั้งหมด
สำหรับการให้ความช่วยเหลือฟื้นฟูพื้นที่ประสบภัย อ.แม่สาย จ.เชียงราย ซึ่งมีอุปสรรคสำคัญคือการกำจัดโคลนที่ตกค้างในพื้นที่ โดย ศปช.ส่วนหน้าได้แบ่งพื้นที่รับผิดชอบเป็น 2 โซนหลัก 6 โซนย่อย โดยกระทรวงมหาดไทยรับผิดชอบโซนเหมืองแดง เหมืองแดงใต้ และปิยะพร ด้านกระทรวงกลาโหม รับผิดชอบโซนหัวฝาย-สายลมจอย เกาะทราย ไม้ลุงขน
"ที่ประชุมได้รับรายงานว่าขณะนี้ทุกอย่างเดินหน้าตามแผนงานที่กำหนดไว้ โดยเฉพาะบริเวณตลาดสายลมจอย ซึ่งถือเป็นพื้นที่เศรษฐกิจสำคัญและได้รับผลกระทบอย่างหนัก แต่ด้วยร่วมมือจากทุกภาคส่วนได้ระดมเคลียร์โคลนออก จนทำให้เช้าวันนี้สามารถเคลียร์พื้นที่จนเดินเท้าเข้าออกได้อย่างสะดวกมากขึ้น โดยหลังจากนี้จะทำให้การเข้าทำความสะอาดบ้านเรือน ประชาชนเดินหน้าได้รวดเร็วมากขึ้น" นายจิรายุ กล่าว