นายอนุสรณ์ ธรรมใจ คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ และผู้อำนวยการศูนย์วิจัยเศรษฐกิจดิจิทัล การลงทุน และการค้าระหว่างประเทศ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย วิเคราะห์ผลเลือกตั้งสหรัฐฯ ที่มีต่อตลาดการเงินและเศรษฐกิจว่า ผลการเลือกตั้งลักษณะใดส่งผลบวกต่อเอเชียและไทยมากที่สุดยังประเมินได้ยาก แต่อาจพอวิเคราะห์ในเบื้องต้นได้ว่าความไม่แน่นอนของผลเลือกตั้งนำไปสู่ความไม่แน่นอนของนโยบายเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ส่งผลต่อตลาดการเงินและเศรษฐกิจโลก เกิดการชะลอการลงทุนและการบริโภคเพื่อรอดูความชัดเจน และต้องติดตามว่าหลังประกาศผลเลือกตั้งจะมีความวุ่นวายเช่นเดียวกับ 4 ปีที่แล้วหรือไม่
ความเสี่ยงจากความวุ่นวายหลังเลือกตั้ง หากนายโดนัล ทรัมป์ แพ้เลือกตั้งด้วยคะแนนสูสีมากๆ อาจจะมีการกล่าวหาเรื่องโกงการเลือกตั้ง การไม่ยอมรับผลเลือกตั้งและมีการชุมนุมประท้วงของมวลชนอาจนำมาสู่ความปั่นป่วนต่อตลาดการเงินโลก หากสถานการณ์ยืดเยื้อและมีความรุนแรงจะสร้างแรงกดดันต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ และค่าเงินดอลลาร์ได้ แนะนำให้ผู้มีธุรกรรมระหว่างประเทศป้องกันความเสี่ยงจากความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนด้วยการซื้อเครื่องมือประกันความเสี่ยงประเภท Option
หากผลเลือกตั้งสหรัฐฯ ออกมาในลักษณะพรรคใดพรรคหนึ่งเป็นทั้งตำแหน่งประธานาธิบดีและครองเสียงข้างมากของรัฐสภาสหรัฐฯ จะทำให้การดำเนินนโยบายของรัฐบาลใหม่ ไม่ว่าจะมีนายโดนัลด์ ทรัมป์แห่งพรรครีพับรีกัน หรือนางกมลา แฮร์ริสแห่งพรรคเดโมแครตเป็นประธานาธิบดีก็ตามมีความราบรื่นและสามารถผ่านกฎหมายได้ง่าย ผลกระทบต่อตลาดการเงินโลก เศรษฐกิจโลก เศรษฐกิจเอเชียและไทยอย่างใดอย่างหนึ่งจะชัดเจนกว่า
แต่หากผลเลือกตั้งออกมาในลักษณะที่พรรคการเมืองพรรคหนึ่งเป็นรัฐบาล อีกพรรคการเมืองพรรคหนึ่งมีเสียงข้างมากในสภาคองเกรส กรณีแบบนี้การดำเนินนโยบายของรัฐบาลใหม่จะถูกตรวจสอบถ่วงดุลและไม่สามารถดำเนินการได้อย่างเต็มที่ ผลกระทบของนโยบายของรัฐบาลใหม่ต่อตลาดการเงินโลกและเศรษฐกิจจึงมีจำกัด
ในการเลือกตั้งครั้งนี้จะมีการเลือกตั้งสมาชิกรัฐสภา 468 คน แบ่งเป็น สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สภาล่าง) 435 คน สมาชิกวุฒิสภา (สภาสูง) 34 คน เวลานี้ไม่มีพรรคการเมืองพรรคใดคุมเสียงข้างมากเด็ดขาด พรรคเดโมแครตมีเสียงข้างมากในวุฒิสภา (51:49) ขณะที่พรรครีพับรีกันมีเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎร (220:212) ผลเลือกตั้งที่เป็นไปได้มากที่สุด ไม่ว่าใครจะมาเป็นประธานาธิบดีก็ตาม รัฐบาลใหม่จะไม่สามารถคุมเสียงเด็ดขาดได้ทั้งสองสภา การผ่านกฎหมายหรือการดำเนินนโยบายจะมีถูกถ่วงดุลและต่อรองไม่สามารถดำเนินการได้อย่างเต็มที่ตามที่ได้หาเสียงเอาไว้อย่างแน่นอน
ความวิตกกังวลต่อผลกระทบของนโยบายกีดกันทางการค้าต่อเศรษฐกิจและระบบการค้าโลกของทรัมป์อาจจะมากเกินไป เพราะสิ่งที่น่าจะเกิดขึ้นก็คือนโยบายการขึ้นกำแพงภาษีขึ้นภาษีสินค้านำเข้าเป็น 100% จากประเทศที่ไม่ใช้สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐในการค้าระหว่างประเทศ การขึ้นภาษีนำเข้าเป็น 60% สำหรับสินค้าจีน หรือการขึ้นภาษีนำเข้าเป็น 10-20% สำหรับสินค้าทุกประเภทจากประเทศอื่น ๆ อาจไม่สามารถผลักดันให้เกิดขึ้นโดยง่าย ฉะนั้นผลกระทบต่อระบบการค้าเสรีของโลกจึงไม่อาจเกิดขึ้นทันทีและอาจไม่รุนแรงอย่างที่วิตกกังวลกัน
อย่างไรก็ตาม มีการประเมินว่าหากทรัมป์ชนะเลือกตั้งแล้วขึ้นภาษีนำเข้า 60% ต่อสินค้าจีนอาจทำให้อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจจีนอาจลดลงได้ถึง 0.50% ส่วนไทยนั้นในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาเกินดุลการค้าสหรัฐฯ มาโดยตลอด หากทรัมป์กลับเข้ามามีอำนาจมีโอกาสที่สหรัฐฯ อาจใช้มาตรการกีดกันทางการค้าต่อไทยเพื่อลดการขาดดุลของสหรัฐฯ นอกจากนี้ไทยยังเคยถูกเพ่งเล็งจากรัฐบาลสหรัฐฯ ในสมัยทรัมป์ว่ากดค่าเงินบาทให้อ่อนเพื่อกระตุ้นการส่งออก ซึ่งสหรัฐฯ มองว่าเป็นการทำการค้าที่ไม่เป็นธรรม
นโยบายการปรับลดภาษีทั้งนิติบุคคลและภาษีเงินได้บุคคลของรัฐบาลทรัมป์ก็ไม่อาจเกิดขึ้นได้ง่ายเช่นเดียวกัน เพราะจะถูกถ่วงดุลโดยรัฐสภาที่ไม่ได้เสียงข้างมากเด็ดขาด และข้อจำกัดเพดานหนี้สาธารณะและการขาดดุลงบประมาณจำนวนมหาศาล แต่หากนโยบายขึ้นภาษีนำเข้า และลดภาษีเงินได้เกิดขึ้น จะสร้างแรงกดดันเงินเฟ้อในสหรัฐฯ หากมีการตอบโต้ขึ้นกำแพงภาษีจากประเทศคู่ค้าจะกดดันต่อปริมาณการค้าโลกให้ชะลอตัวลง ส่งผลลบให้อัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจโลก ผู้ผลิตภายในสหรัฐฯ และผู้ใช้แรงงานอาจได้ผลประโยชน์ระยะสั้นจากการปกป้องทางการค้า แต่ระยะยาวแล้วอาจไม่เป็นผลบวกต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ โดยรวม ส่วนผู้บริโภคต้องซื้อของแพงขึ้น อีกด้านหนึ่งนโยบายการลดภาษีเงินได้นิติบุคคล บริษัทต่าง ๆ โดยเฉพาะบริษัทขนาดใหญ่จะได้ประโยชน์โดยตรง ราคาหุ้นของบริษัทจดทะเบียนในตลาดจะปรับตัวสูงขึ้นอย่างมากและจะเกิดฟองสบู่ของราคาหลักทรัพย์ ราคาที่ปรับเพิ่มขึ้นเป็นผลจากปัจจัยทางนโยบายภาษี ไม่ได้เป็นผลจากปัจจัยพื้นฐานทางด้านผลการดำเนินงานของบริษัทเป็นหลัก
นอกจากนี้อาจมีการเสนอให้ถอดถอนสถานะการค้าปกติ (PNTR) กับจีน ซึ่งสถานะดังกล่าวเป็นประโยชน์สำหรับจีนในฐานะสมาชิกองค์การการค้าโลก การพิจารณาถอดถอนดังกล่าวไม่สามารถดำเนินการได้โดยง่ายเพราะต้องผ่านความเห็นชอบจากสภาคองเกรส นอกจากนี้รัฐบาลทรัมป์ยังมีนโยบายปรับลดอัตราภาษีธุรกิจลงระหว่าง 15-20% จากเดิมอัตรา 21% ที่ได้ปรับลดจาก 34% ในสมัยที่เคยดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายการตัดลดการใช้จ่ายภาครัฐของสหรัฐฯ และรายจ่ายทางด้านสวัสดิการสังคม
ส่วนนโยบายด้านภาษีของรัฐบาลแฮร์ริสจะแตกต่างจากรัฐบาลทรัมป์อย่างชัดเจน เนื่องจากพรรคเดโมแครตเสนอให้เพิ่มภาษี แต่เพิ่มการลงทุนในระบบสวัสดิการและระบบโครงสร้างพื้นฐาน มีการวางแผนจะปรับอัตราภาษีธุรกิจเพิ่มขึ้นจากเดิม 21% เป็น 28% และเพิ่มภาษีรายได้ธุรกิจที่มีแหล่งรายได้จากต่างประเทศ อีกทั้งยังมีแผนปรับเพิ่มอัตราภาษีทางเลือกขั้นต่ำสำหรับธุรกิจสำหรับกลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่รายได้เกิน 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐติดต่อกันอย่างน้อยสามปีจากอัตรา 15% เป็น 21% และยังเสนอปรับเพิ่มอัตราภาษีซื้อคืนหุ้นจากเดิม 1% เป็น 4% กำหนดเพดานการลดหย่อนภาษีสำหรับค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับผู้บริหารบริษัทด้วย นโยบายดังกล่าวของรัฐบาลแฮร์ริสอาจมีส่วนช่วยให้ฐานะทางการคลังดีขึ้น การขาดดุลงบประมาณลดลงแต่ไม่เป็นผลดีต่อตลาดหุ้นและผลประกอบการของธุรกิจขนาดใหญ่เพราะภาษีเพิ่มขึ้นอีก 7% ขณะที่พรรคเดโมแครตมีนโยบายปรับเพิ่มอัตราภาษีสำหรับกำไรส่วนต่างจากการขายสินทรัพย์ (Capital Gain Tax: CGT) จากเดิมอัตรา 15% เป็น 28% อีกด้วย คาดว่าจะทำให้เงินทุนไหลออกจากตลาดหุ้นสหรัฐฯมายังตลาดหุ้นภูมิภาคและไทยมากขึ้น
หากนางกมลา แฮร์ริส ชนะเลือกตั้งเป็นผู้นำสหรัฐฯ จะดำเนินนโนบายตามรัฐบาลโจ ไบเดน ในการตอบโต้ทางการค้าจีนด้วยการเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนรายการเดิมรวมถึงกลุ่มรถยนต์พลังงานไฟฟ้าที่เพิ่งประกาศเพิ่มในช่วงต้นปีที่ผ่านมา รวมถึงการเจรจาเพื่อหาข้อตกลงในกรณีความขัดแย้งกับประเทศคู่ค้าในกลุ่มสินค้าเหล็กและเครื่องบินพาณิชย์ สหรัฐฯ ยังให้ความสำคัญกับเวทีพหุภาคีและมีแนวโน้มเข้าร่วมข้อตกลงการค้าเสรีของภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก
ประเมินในเบื้องต้น ไม่ว่าจะได้รัฐบาลทรัมป์ หรือรัฐบาลแฮร์ริส ไทยและอาเซียนจะได้รับประโยชน์จากการย้ายฐานการผลิตจากจีนมายังภูมิภาคมากขึ้น ส่วนสินค้าส่งออกที่เป็นห่วงโซ่อุปทานเดียวกับจีนอาจได้รับผลกระทบในการส่งออกระดับหนึ่ง การปรับขึ้นอัตราภาษีสินค้านำเข้าบางตัวจากจีนจะทำให้สหรัฐฯ หันมาใช้จากการผลิตในประเทศมากขึ้น นำเข้าจากเกาหลีใต้ ญี่ปุ่น และอาเซียนมากขึ้น อีกด้านหนึ่งผู้ประกอบการในการผลิตสินค้าบางประเภทอาจย้ายฐานผลิตมายังไทยและอาเซียนมากขึ้น ทว่าอาจหนีไม่พ้นผลกระทบจากสงครามการค้าเพราะอาจต้องเผชิญกับมาตรการ Anti-Circumvention (มาตรการตอบโต้การค้าไม่เป็นธรรมเพิ่มเติม) เหมือนธุรกิจผลิตหรือส่งออก Solar Cells จากไทยหรืออาเซียนเจอตอบโต้ผ่านมาตรการ Anti-Circumvention เนื่องจากมีการย้ายมาผลิต หรือประกอบบางส่วน หรือดัดแปลงบางส่วน หรือส่งออกผ่านประเทศตัวกลางเพื่อเลี่ยงภาษี
รัฐบาลแฮร์ริสจะสานต่อรัฐบาลโจ ไบเดนในการเสริมสร้างความร่วมมือกับกลุ่มประเทศในเขตแปซิฟิกเพื่อคานอำนาจจีน และมีนโยบายสนับสนุนไต้หวันในการปกป้องอธิปไตยต่อกรณีการรุกรานของจีน หากเปรียบเทียบนโยบายระหว่าง กมลา แฮร์ริส กับ โดนัลด์ ทรัมป์ แล้วพบว่านโยบายการตอบโต้ทางการค้าจีนของทรัมป์จะเข้มข้นมากกว่า แต่ไทยซึ่งมีมูลค่าการค้าระหว่างประเทศเกินดุลสหรัฐฯ สูงก็อาจจะเป็นเป้าหมายในการตอบโต้ทางการค้าของสหรัฐฯ ได้ในอนาคต ดังที่สหรัฐฯ เคยดำเนินมาตรการกดดันไทย โดยไทยเคยเป็นหนึ่งใน 16 ประเทศที่สหรัฐฯ เปิดการไต่ส่วนประเด็นการค้าเกินดุลสหรัฐฯ สูง รวมถึงเคยถูกระงับสิทธิ์ GSP สินค้าไทยทั้งสิ้น 573 รายการในช่วงที่ทรัมป์ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี นอกจากนี้นโยบายการไม่สนันสนุนอุตสาหกรรมรถยนต์พลังงานไฟฟ้าและการรักษาสิ่งแวดล้อมยังอาจจะส่งผลกระทบต่อภาคการส่งออกสินค้ากลุ่มชิ้นส่วนรถยนต์และสินค้าที่เกี่ยวข้องกับการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมไทยได้
ผลเลือกตั้งสหรัฐฯ ยังส่งผลต่อวิกฤตการณ์สภาพภูมิอากาศ เพราะรัฐบาลใหม่ (ไม่ว่าจะเป็นพรรคเดโมเครต หรือพรรครีพับรีกัน) มีนโยบายในด้านสิ่งแวดล้อมแตกต่างกันอย่างชัดเจน รัฐบาลแฮร์ริสมีนโยบายให้ความสำคัญกับอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ลดการปล่อยคาร์บอนและก๊าซเรือนกระจกปัจจัยก่อให้เกิดภาวะโลกร้อนและวิกฤตการเปลี่ยนแปลงด้านสภาพภูมิอากาศ สนับสนุน The Inflation Reduction Act (IRA) ให้ใช้พลังงานหมุนเวียน พลังงานสะอาด มีจุดยืนคัดค้านการขุดเจาะน้ำมันและก๊าซปิโตเลียมด้วยวิธีการ Fracking ที่ส่งผลกระทบทำให้ชั้นหินแตกตัวซึ่งเป็นอันตรายต่อสิ่งแวดล้อม
ขณะที่ทรัมป์ไม่เชื่อเรื่องภาวะโลกร้อนและปัญหาการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ มองปัญหาเหล่านี้เป็นธรรมชาติของโลก จึงเสนอให้ยกเลิกการให้ภาษีส่วนลดสำหรับการซื้อรถยนต์พลังงานไฟฟ้า และยกเลิกรัฐบัญญัติ IRA ที่ให้การสนับสนุนกลุ่มอุตสาหกรรมพลังงานสะอาด เช่น โรงงานไฟฟ้าจากพลังงานลม โรงงานไฟฟ้าจากพลังงาน รวมถึงยกเลิกกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องกับการใช้ถ่านหินในโรงงานผลิตพลังงาน การปล่อยก๊าซของเสียรถยนต์ และการปล่อยก๊าซมีเทนในอุตสาหกรรมกลั่นน้ำมันและก๊าซปิโตรเลียม เป็นต้น คาดว่า หากทรัมป์ชนะเลือกตั้งปัญหาภาวะโลกร้อนอาจรุนแรงขึ้น เพราะสหรัฐฯ เป็นประเทศที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากที่สุด
รัฐบาลแฮร์ริสไม่มีท่าทีชี้นำนโยบายการเงินและนโยบายดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ และสนับสนุนการควบคุมอัตราเงินเฟ้อด้วยกลยุทธ์การควบคุมราคาสินค้า ธนาคารกลางสหรัฐฯ น่าจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยอีกอย่างน้อย 4 ครั้งรวมทั้งสิ้น 1% ในปีหน้า ขณะที่ทรัมป์ไม่ค่อยเห็นด้วยกับการดำเนินนโนบายด้านอัตราดอกเบี้ยเพื่อควบคุมอัตราเงินเฟ้อของธนาคารกลางสหรัฐฯ ในปัจจุบันอาจจะมีการ กดดันให้การลดอัตราดอกเบี้ยต่ำกว่าที่ตลาดการเงินคาดการณ์และมีแนวโน้มสนับสนุนให้เงินดอลลาร์อ่อนค่าเพื่อสนับสนุนการส่งออก
สงครามการค้ารอบใหม่หลังเลือกตั้งผู้นำสหรัฐฯ เป็นทั้งความเสี่ยงและโอกาสต่อไทยและภูมิภาคอาเซียน พลวัตของผลกระทบทั้งลบและบวกยังไม่ชัดเจน ต้องรอดูว่าจีนจะมีมาตรการตอบโต้ทางเศรษฐกิจและการค้าอย่างไร ที่ผ่านมาประเทศจีนใช้วิธีการอุดหนุนเพื่อให้ภาคการผลิตมีต้นทุนต่ำและบริหารจัดการค่าเงินหยวนให้อ่อนค่ากว่าปัจจัยพื้นฐานมาก ๆ เพื่อสนับสนุนการส่งออกและดึงให้เศรษฐกิจภายในพ้นจากภาวะเงินฝืดและดูดซับการลงทุน และกำลังการผลิตส่วนเกินจำนวนมาก อีกความเคลื่อนไหวหนึ่งที่ต้องประเมินจะเกิดการตอบโต้ด้วยการขึ้นกำแพงภาษีหรือการใช้มาตรการกีดกันการค้าที่ไม่ใช่ภาษี (Non-Tariff Barriers) เพิ่มเติมระหว่างจีนกับอียู และอียูกับสหรัฐฯ หรือไม่ หากเกิดภาวะดังกล่าวเพิ่มเติมเข้ามาอีกจะทำให้ระบบการค้าเสรีของโลกภายใต้กรอบข้อตกลงขององค์การการค้าโลกและทุนนิยมโลกาภิวัตน์เปลี่ยนแปลงไปไม่เหมือนเดิมมากยิ่งขึ้น
การที่ไทยเข้าร่วมกลุ่ม BRICS จะส่งดีต่อไทยในระยะยาว เป็นการดำเนินกุโศบายต่างประเทศที่ดี เพราะเป็นการเพิ่มการถ่วงดุลในระบบพหุขั้วอำนาจโลก ที่ไม่ใช่ระบบโลกที่สหรัฐฯ เป็นผู้นำหนึ่งเดียว ถือเป็น Strategic Autonomy ของไทยในแง่นโยบายต่างประเทศ สหรัฐฯ จะดำเนินนโยบายให้ประโยชน์กับไทยมากขึ้นเพื่อไม่ให้ไปใกล้ชิดกับขั้วอำนาจ BRICS มากเกินไป ขณะที่เวทีก็จะเป็นประโยชน์กับไทยในการเจรจาต่อรองกับชาติตะวันตกและสหรัฐฯ จะเกิดระบบโลกาภิวัตน์ที่เป็นธรรมมากขึ้น กลุ่ม BRICS นั้นต้องการปรับสมดุล (ถ่วงดุล) อำนาจทางเศรษฐกิจกับกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว การถ่วงดุลดังกล่าวจะมีผลต่อดุลอำนาจการเมืองระหว่างประเทศด้วย หากพิจารณาดูเป้าหมายแล้วจะมุ่งไปที่การปฏิรูปโครงสร้างการจัดการเศรษฐกิจโลก เพื่อให้กลุ่มประเทศกำลังพัฒนาได้มีบทบาทมากขึ้น
การส่งเสริมการใช้สกุลเงินท้องถิ่นในการทำธุรกรรมระหว่างประเทศเพื่อลดการพึ่งพาสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฯ การสร้างกลไกระหว่างประเทศทางเลือก ทั้งในด้านการเงิน การให้ความช่วยเหลือ และการระดมทุน เพื่อการพัฒนา การเข้าร่วมกลุ่ม BRICS จะทำให้ลดพึ่งพาดอลลาร์สหรัฐ ถ่วงดุลชาติตะวันตก De-Dollarization ทำให้ราคาทองคำขาขึ้นยาวนานต่อไป คาดเงินสกุลเอเชียแข็งค่าขึ้น
กรณีเอสเอ็มอีไทยได้รับผลกระทบจากการทุ่มตลาดของสินค้าจีนนั้น การเข้าร่วมกลุ่ม BRICS จะทำให้ผลกระทบมากขึ้นหรือไม่ ตามหลักการการค้าเสรีควรเป็นประโยชน์กับผู้เกี่ยวข้องทุกคน หากเป็นการค้าที่เสรีมีความเป็นธรรม หากเราสามารถแข่งขันได้เราจะได้ประโยชน์มากจากการเปิดกว้างทางเศรษฐกิจการค้า รัฐไทยต้องกำหนดกติกาไม่ให้ขายสินค้าต่ำกว่าต้นทุนมาก ๆ เป็นพฤติกรรมทุ่มตลาด ทำให้ผู้ผลิตรายเล็กรายย่อยล้มละลายเลิกกิจการกันหมด ต้องกำหนดเกณฑ์สินค้าให้มีคุณภาพให้ได้มาตรฐาน แต่ไม่ควรไปตั้งกำแพงภาษี หรือใช้การกำหนดโควต้ากีดกัน เพราะถึงที่สุดจะกระทบกับเศรษฐกิจโดยรวมและผู้บริโภค แม้ผู้ผลิตภายในจะได้ประโยชน์จากการปกป้องก็ตาม