ศาลอาญาออกหมายจับนพ.บุญ วนาสิน (หมอบุญ) ผู้ก่อตั้งโรงพยาบาลธนบุรี รวมถึงผู้ต้องหาที่ร่วมขบวนการ และมีพฤติการณ์ เกี่ยวข้องกับคดีนี้ 9 คน ได้แก่
1. นพ.บุญ วนาสิน อายุ 86 ปี ตกเป็นผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญา ข้อหา ร่วมกันฉ้อโกงประชาชน, ร่วมกันให้กู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน, ร่วมกันฉ้อโกงอันมีลักษณะเป็นปกติธุระ, สมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่สองคนขึ้นไปเพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงินและได้มีการกระทำความผิดฐานฟอกเงินเพราะเหตุที่ได้มีการสมคบกัน และร่วมกันฟอกเงิน, ออกเช็คเพื่อชำระหนี้ที่มีอยู่จริงและบังคับได้ตามกฎหมายโดยเจตนาที่จะไม่ให้มีการใช้เงินตามเช็ค และธนาคารปฏิเสธไม่ให้ใช้เงินตามเช็คนั้น
2. น.ส.จิดาภา พุ่มพุฒ อายุ 53 ปี เลขาส่วนตัว
3. น.ส.ศิวิมล จาดเมือง อายุ 38 ปี ซึ่งเป็นผู้จัดการเกี่ยวกับเอกสาร สัญญาต่างๆ และจัดการด้านการเงิน ตามคำสั่ง น.ส.จิดาภา
4. นางจารุวรรณ วนาสิน อายุ 79 ปี ภรรยาของหมอบุญ ซึ่งเป็นผู้ลงลายมือชื่อเป็นผู้ค้ำประกันในสัญญาต่างๆ เป็นผู้ลงลายมือชื่ออาวัลในเช็ค เป็นผู้ถือหุ้น THG ซึ่งนำมาค้ำประกันในสัญญากู้ต่างๆ
5. น.ส.นลิน วนาสิน อายุ 51 ปี บุตรสาวของหมอบุญ ซึ่งเป็นผู้ลงลายมือชื่อเป็นผู้ค้ำประกันในสัญญาต่างๆ และ เป็นผู้ลงลายมือชื่ออาวัลในเช็ค
6. นางอัจจิมา พาณิชเกรียงไกร อายุ 49 ปี ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของ บริษัทหลักทรัพย์ คิงฟอร์ด เป็นผู้ชักชวนให้ร่วมลงทุน และมอบหมายให้คนนำสัญญากู้ยืม ทำสัญญาค้ำประกัน
7. นายภาคย์ วัฒนาพร อายุ 36 ปี เป็นเจ้าหน้าที่ บริษัทหลักทรัพย์ คิงฟอร์ด ร่วมกับนางอัจจิมา เป็นผู้ประสานงานให้คำปรึกษา ชักชวนลงทุน ผู้ชักชวนให้ร่วมลงทุน
8. นางภัทรานิษฐ์ ณ สงขลา อายุ 55 ปี ซึ่งเป็นนายหน้า และผู้ชักชวนแนะนำการลงทุน เป็นผู้จัดทำเอกสารเป็นผู้ลงลายมือชื่อเป็นพยานในสัญญากู้ยืมเงิน สัญญาค้ำประกัน หนังสือส่งมอบเช็ค สัญญาซื้อและขายหุ้นคืนและหนังสือชำระหนี้
9. นายธนภูมิ ชนประเสริฐ อายุ 36 ปี ซึ่งเป็นตัวแทนติดต่อชักชวนผู้เสียหาย เป็นผู้จัดทำสัญญา ลงลายมือชื่อเป็นพยานในสัญญากู้ สัญญาค้ำประกัน และเป็นผู้นำสัญญามามอบให้ผู้เสียหาย
ขณะนี้ตำรวจสามารถติดตามจับกุมผู้ต้องหาในคดีนี้ได้แล้ว 6 ราย และได้มีการนำตัวส่งศาลอาญาฝากขังเรียบร้อยแล้ว เหลืออีก 3 ราย คือ หมอบุญ, ภรรยาและลูก ที่ยังอยู่ระหว่างติดตามตัวมาดำเนินคดี ซึ่งมีกระแสข่าวว่า หมอบุญ น่าจะหลบหนีคดีไปยังต่างประเทศ จากการประสาน ตม. พบว่าเดินทางออกจากไทยตั้งแต่ 29 ก.ย. เวลา 14.25 น. เส้นทางกรุงเทพ-ฮ่องกง ล่าสุดทราบว่า หมอบุญ เดินทางต่อจากฮ่องกงไปจีนแล้ว อยู่ระหว่างการประสานตำรวจสากล ส่วนลูกเมียอยู่ระหว่างติดตามตัวคาดว่าอยู่ในประเทศไทย โดยในวันนี้ภรรยาและลูก จะเข้ามอบตัวกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ
พล.ต.ต.นพศิลป์ พูลสวัสดิ์ รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (รอง ผบช.น.) กล่าวว่า มีผู้เสียหายจำนวนมากเข้าแจ้งความที่ สน.ห้วยขวาง เริ่มจากเดือน ธ.ค.66 1 คดี ถัดมาในปี 67 ห้วงเดือน พ.ค. อีก 6 คดี, เดือนมิ.ย. 8 คดี และ ก.ค. 49 คดี และคดีเริ่มซับซ้อนยากมากขึ้นเนื่องจากผู้เสียหายเพิ่มมากขึ้น ในช่วงเดือน ส.ค.75 คดี, ก.ย. 84 คดี, ต.ค. 60 คดี และ พ.ย.อีก 60 คดี รวม 520 คดี รวมผู้เสียหาย 247 ราย เบื้องต้นเป็นคดี พ.ร.บ.เช็ค
ทางพนักงานสอบสวน สน.ห้วยขวางจึงรับคำร้องทุกข์ไว้ และได้แต่งตั้ง คณะ บก.น.1 เป็นพนักงานสอบสวน รวบรวมพยานหลักฐาน พบพฤติกรรม ของหมอบุญ และ พวกมีการระดมทุน ชักชวนจากตัวแทน บริษัทหลักทรัพย์ (โบรกเกอร์) ว่าตนเป็นตัวแทนการระดมเงินลงทุน ให้หมอบุญ และ ครอบครัว
โดยผู้เสียหายถูกโบรกเกอร์ติดต่อชักชวนลงทุน ร่วมกับหมอบุญ กับพวก โดยอ้างว่าลงทุนเกี่ยวกับธุรกิจทางการแพทย์ มี 5 โครงการ 1.โครงการสร้างศูนย์มะเร็ง ย่านปิ่นเกล้า พื้นที่ 7 ไร่ ใช้งบประมาณ 4,000 ล้านบาท 2.โครงการเวลเนสเซ็นเตอร์ ย่านพระราม 3 ริมแม่น้ำเจ้าพระยา สร้างที่พักอาคารสูง 52 ชั้นรองรับผู้สูงอายุ 400 ห้อง มูลค่า 4-5 พันล้านบาท 3. สร้างโรงพยาบาลในสปป.ลาว รวม 3 แห่งเวียงจันทร์ 2 แห่ง, จำปาสัก 1 แห่ง 4. เข้าร่วมลงทุนกับโรงพยาบาลในเวียดนาม โดยใช้งบลงทุน 4-5 พันล้านบาท และ 5.การสร้างเมดิคอลอินเทลลิเจนท์ บางละมุง ชลบุรี ทำหน้าที่ด้านไอที มูลค่า 100 ล้านบาท
โดย 5 โครงการดังกล่าว หลังระดมทุนเรียบร้อยแล้ว จะให้ผู้เชี่ยวชาญ บริษัท ไทยเมดิคอลกรุ๊ป จำกัด หรือ TMG ดูแลโครงการทั้งหมดเนื่องจากมีการเชี่ยวชาญด้านการแพทย์ เข้ามาบริหารต่อ ยังมีแผนการนำเข้าบริษัทตลาดหลักทรัพย์ในปี 67
หากผู้เสียหายร่วมลงทุนแล้ว ผู้ร่วมลงทุนในปี 66 จะได้กำไร 700 ล้านบาท ปี 67 อาจเพิ่มขึ้นเป็น 1,000 ล้านบาท ในช่วงดังกล่าววันที่ 2-4 ก.พ. 66 ที่ผ่านมา ทางหมอบุญฯ ได้สร้างโปรไฟล์น่าเชื่อถือ
แต่พฤติกรรมในการหาแหล่งเงินทุนของหมอบุญ และ พวกกับมีลักษณะการไปกู้ยืมเงินกับแหล่งเงินกู้ โดยมีภรรยา และ ลูกสาว เป็นผู้ค้ำประกัน เซ็นต์สลักหลังในเช็คทุกฉบับ มอบให้ผู้เสียหาย ในช่วงแรกมีการจ่ายดอกเบี้ยในอัตราสูง ให้กับบางส่วนบางคน ต่อมาไม่มีการจ่ายเลย อีกทั้งเจ้าหน้าที่ยังพบว่า หลังจากได้เงินทุน 7,500 ล้าน พบว่าให้โบรกเกอร์ทยอยไปถอนเงินครั้งละเป็นร้อยล้าน โดยโบรกเกอร์จะได้ดอกเบี้ยและเปอร์เซนต์เป็นค่าตอบแทน ประมาณ 1 แสนบาท ต่อ 10 ล้านบาท ซึ่งการกระทำทั้งหมอบุญเละโบรกเกอร์ จะไปชักชวนผู้ร่วมลงทุน ที่เป็นนักเล่นหุ้น กระเป๋าหนัก
ต่อมามากองบังคับการตำรวจนครบาล 1 จึงได้แต่งตั้ง คณะพนักงานสืบสวนสอบสวนขึ้น เนื่องจากมีผู้เสียหายจำนวนมาก มูลค่าความเสียหายสูง ผู้ที่เสียหายมากที่สุดที่ร่วมลงทุน มากที่สุดมากถึง 600-700 ล้าน เป็นนักธุรกิจที่หลงเชื่อว่าจะมีการลงทุนจริง รวมถึงบุคคากรทางการแพทย์ รวมทั้งหมด 247 คน ความเสียหาย 7,564 ล้านบาท ตั้งแต่เดือนธ.ค. 66 ถึงเดือนต.ค.67
ส่วนเงินจำนวนดังกล่าวอยู่ระหว่างการตรวจสอบว่ามีการนำไปใช้จ่ายในธุรกิจเครือข่ายโรงพยาบาลที่มีอยู่จริง 4-5 โรงพยาบาล จะต้องไปตรวจสอบ รวมถึงต้องไปตรวจสอบในช่วงที่มีการนำเข้าวัคซีนโควิด-19 ว่าเงินดังกล่าวไปอยู่ที่ไหน
สำหรับพฤติการณ์ หมอบุญ ชุดสืบสวนพบว่า พยายามจ่ายเช็คให้กับเจ้าหนี้ โดยใช้เช็คที่ผู้เสียหายไม่สามารถนำไปใช้ดำเนินการขึ้นเงินได้ เพื่อหลีกเลี่ยงในเรื่องความผิดการฟอกเงิน ที่มีอัตราโทษสูง และจะต้องถูกยึดอายัดทรัพย์ อีกทั้งพฤติกรรมกลุ่มผู้ต้องหายังทำการตลาด ซื้อโฆษณา สื่อออนไลน์ สำนักพิมพ์หลายแห่ง เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือโดยการออกสื่อทั้งลงเว็บไซต์และให้สัมภาษณ์ และบอกกล่าวครอบครัว คนใกล้ชิด และโบรกเกอร์ตัวแทนในการระดมทุน อ้างว่าตนมีบริษัทหลักทรัพย์ ซึ่งจดทะเบียนถูกต้องในตลาดหลักทรัพย์ สร้างความน่าเชื่อถือ และการระดมทุนได้ค่าตอบแทนสูงมากกว่าสถาบันการเงิน
นอกจากนี้ยังตรวจสอบพบว่า หมอบุญ มีรถยนต์ 19 คัน พบว่าหายไป ส่วนอสังหาริมทรัพย์ รวมถึงโฉนดที่ดิน พบมี 21 แปลง พบว่ามีการยักย้ายถ่ายเทไปยังคนในครอบครัว ซึ่งจะต้องมีการตรวจสอบว่า ทรัพย์สินดังกล่าวได้มาในช่วงปี 67 หรือไม่