นายอิทธิ ศิริลัทธยากร รมช.เกษตรและสหกรณ์ กล่าวระหว่างเป็นประธานกิจกรรม Kick Off เปิดปฏิบัติการ "อวสาน สารเร่งเนื้อแดง" ว่า ตามที่รัฐบาลมีนโยบายยกระดับสินค้าเกษตรและบริการมูลค่าสูง ยกระดับศักยภาพของเกษตรกร/สถาบันเกษตรกรให้เข้มแข็ง และสานต่อการทำสงครามสินค้าเกษตรเถื่อน พร้อมผลักดันนโยบายตลาดนำ นวัตกรรมเสริม เพิ่มรายได้ กรมปศุสัตว์ ได้ดำเนินการขับเคลื่อนนโยบายดังกล่าว และบังคับใช้กฎหมายอย่างต่อเนื่อง
การจัดกิจกรรมในวันนี้ มีความสำคัญในการขับเคลื่อนนโยบายห้ามใช้สารเร่งเนื้อแดงตลอดห่วงโซ่การผลิต พร้อมสร้างการรับรู้แก่เกษตรกรผู้เลี้ยงโคขุน ให้ตระหนักถึงอันตรายและผลกระทบเชิงลบที่เกิดขึ้นจากการใช้สารเร่งเนื้อแดง โดยได้กำชับให้กรมปศุสัตว์ ดำเนินการมาตรการเชิงรุก เฝ้าระวังการลักลอบใช้สารเร่งเนื้อแดงในโรงฆ่าสัตว์ โรงงานผลิตอาหารสัตว์ และฟาร์มเลี้ยงโคขุนทั่วประเทศ โดยตั้งเป้าหมายให้ประเทศไทยปลอดสารเร่งเนื้อแดง และสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ผู้บริโภค พร้อมส่งออกไปยังประเทศคู่ค้า
การใช้สารเร่งเนื้อแดง เป็นปัญหาที่ส่งผลกระทบกับผู้บริโภคและการส่งออก โดยเฉพาะการเปิดตลาดส่งออกโคไปยังประเทศจีน ที่จะกระตุ้นราคาโคในประเทศให้เพิ่มขึ้น สร้างรายได้ให้กับพี่น้องเกษตรกร กรมปศุสัตว์ ร่วมกับหน่วยงานในสังกัดกระทรวงสาธารณสุข และกองบังคับการปราบปรามกระทำความผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค จึงผนึกความร่วมมือกันขับเคลื่อนปราบปรามสารเร่งเนื้อแดงอย่างต่อเนื่อง โดยส่งชุดปฏิบัติการพิเศษลงพื้นที่สุ่มตรวจตามโรงฆ่า ฟาร์ม และสถานที่จำหน่าย เพื่อให้สารเร่งเนื้อแดงหมดไป
"ขอเตือนผู้เลี้ยงโคขุน ห้ามใช้สารเร่งเนื้อแดง นอกจากจะมีโทษตามกฎหมาย ยังส่งผลอันตรายต่อผู้บริโภค ในวันที่ 27 พ.ย.นี้ จะลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมด่านกักกันสัตว์เชียงราย เพื่อติดตามมาตรการควบคุมป้องกันโรคระบาดสัตว์ที่ผ่านเข้า-ออกประเทศ การส่งออกสินค้าปศุสัตว์ให้ได้ตามมาตรฐานสากล สะอาด ปลอดโรค ตามที่ประเทศคู่ค้ากำหนด" นายอิทธิ กล่าว
น.สพ.สมชวน รัตนมังคลานนท์ อธิบดีกรมปศุสัตว์ กล่าวว่า สารเร่งเนื้อแดงที่มักพบการลักลอบใช้ ได้แก่ ซาลบูทามอล (Salbutamol) เคลนบูเทอรอล (Clenbuterol) และแรคโทพามีน (Ractopamine) ซึ่งมีคุณสมบัติในการกระตุ้นการสร้างโปรตีนในกล้ามเนื้อ และลดการสะสมไขมัน จึงถูกนำมาใช้ผิดวัตถุประสงค์ในการเลี้ยงสัตว์ปศุสัตว์ เมื่อนำสารชนิดนี้ไปผสมอาหารสำหรับเลี้ยงในฟาร์มสุกร และโคขุน จะทำให้ได้เนื้อสัตว์ที่มีสีแดงสด ชั้นไขมันบาง ซึ่งเป็นที่ต้องการของตลาด แต่ก่อให้เกิดการตกค้างในผลิตภัณฑ์จากสัตว์
เมื่อผู้บริโภครับประทานผลิตภัณฑ์จากสัตว์ ที่มีสารเร่งเนื้อแดงตกค้างเข้าไป จะทำให้กระสับกระส่าย ใจสั่น มือสั่น กล้ามเนื้อกระตุก ปวดศีรษะ คลื่นไส้ และความดันโลหิตสูง โดยจะอันตรายมากขึ้นในหญิงมีครรภ์ ผู้ป่วยโรคหัวใจ ความดันโลหิตสูง ในผู้ที่แพ้ หรือได้รับสารในปริมาณมาก อาจเกิดหัวใจเต้นผิดจังหวะถึงขั้นเสียชีวิตได้
ซึ่งกรมปศุสัตว์ มอบหมายให้กองควบคุมอาหารและยาสัตว์ เป็นหน่วยงานหลักในการกำหนดมาตรการควบคุมคุณภาพอาหารสัตว์ดำเนินมาตรการป้องกันการลักลอบใช้สารเร่งเนื้อแดง โดยจัดให้มีการดำเนินการตรวจสอบอย่างเป็นระบบ ตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ ได้แก่ การตรวจสอบการลักลอบใช้สารเร่งเนื้อแดง ตั้งแต่การเลี้ยงของเกษตรกรในฟาร์ม การเฝ้าระวังในโรงงานผลิตอาหารสัตว์ และการเฝ้าระวังสารเร่งเนื้อแดงตกค้างก่อนสัตว์เข้าโรงฆ่า
ทั้งนี้ สามารถตรวจสอบการเฝ้าระวังสารเร่งเนื้อแดงย้อนกลับแหล่งที่มา และ/หรือแหล่งผลิต ณ สถานที่จำหน่ายเนื้อสัตว์ ซึ่งสารเร่งเนื้อแดงเป็นวัตถุที่ห้ามใช้ผสมในอาหารสัตว์ตามประกาศกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เรื่อง กำหนดวัตถุที่ห้ามใช้เป็นส่วนผสมในอาหารสัตว์ พ.ศ. 2559 ตามความในมาตรา 6 (4) แห่ง พ.ร.บ.ควบคุมคุณภาพอาหารสัตว์ พ.ศ. 2558 หากตรวจพบการฝ่าฝืน มีโทษตามมาตรา 71 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 6 หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
นอกจากนี้ ตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข (ฉบับที่ 269) พ.ศ. 2546 เรื่อง มาตรฐานอาหารที่มีการปนเปื้อนสารเคมีกลุ่มเบต้าอะโกนิสต์ กำหนดให้อาหารทุกชนิดมีมาตรฐาน โดยตรวจไม่พบการปนเปื้อนสารเคมีกลุ่มเบต้าอะโกนิสต์ และเกลือของสารกลุ่มนี้ อาหารที่มีสารเร่งเนื้อแดงตกค้างถือว่าผิดมาตรฐาน ตามมาตรา 25 (3) แห่ง พ.ร.บ.อาหาร พ.ศ. 2522 มีโทษตามมาตรา 60 ต้องระวางโทษปรับไม่เกิน 5 หมื่นบาท
หากผู้บริโภคต้องการซื้อเนื้อสัตว์ ควรเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ปศุสัตว์ที่ปลอดภัย โดยสังเกตจากสัญลักษณ์ปศุสัตว์ OK ซึ่งได้รับการรับรองจากกรมปศุสัตว์ หรือป้ายทองอาหารปลอดภัย (Food Safety) และหากพบผู้กระทำความผิด สามารถแจ้งเบาะแสได้ที่ สายด่วนกรมปศุสัตว์ 063-225-6888 หรือแจ้งข้อมูลผ่าน Application DLD 4.0 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง