จากกรณีน.ส.ชาล็อต ออสติน นางงามสังกัดบมจ.มิสแกรนด์อินเตอร์เนชั่แนล (MGI) ถูกหลอกโอนเงิน 4 ล้านบาท โดยมิจฉาชีพอ้างว่าเป็นบุคคลากรของกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) และกล่าวอ้างว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับนายศรัทธา จันทรเศรษฐเลิศ ที่เป็นหนึ่งในผู้ต้องหาในคดีฟอกเงินหุ้นบมจ.สตาร์ค คอร์ปอเรชั่น (STARK) ที่เคยมีข่าวช่วงเดือนส.ค.
น.ส.ชาล็อต เล่าว่า เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 7 ธ.ค.67 เวลาประมาณ 17.00 น. ได้มีเบอร์แปลกโทรเข้ามา ซึ่งตามปกติตนจะไม่รับสายเบอร์แปลก แต่ในวันดังกล่าวตนไปทำธุระที่ร้านแห่งหนึ่งแล้วทิ้งเบอร์ไว้เพื่อจะทำใบกำกับภาษี จึงคิดว่าเบอร์แปลกดังกล่าวเป็นของทางร้านจึงตัดสินใจรับสาย เมื่อรับสายแล้วทางมิจฉาชีพได้แจ้งชื่อและยศโดยอ้างว่าเป็นบุคลากรของกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) พร้อมกล่าวอ้างว่าตนมีส่วนเกี่ยวข้องกับนายศรัทธา จันทรเศรษฐเลิศ หนึ่งในผู้ต้องหาในคดีฟอกเงินเกี่ยวกับการลงทุนหุ้นของ บมจ.สตาร์ค คอร์ปอเรชั่น (STARK) ที่เคยมีข่าวในช่วงเดือน ส.ค.67 โดยมิจฉาชีพอ้างว่าตนมีการขายบัญชีให้กับนายศรัทธา และนายศรัทธาได้มีการโอนเงินมาให้ตนทุกเดือน ๆ ละ 800,000 บาท ซึ่งตนได้ตรวจสอบข้อมูลแล้วพบว่ามีคดีดังกล่าวเกิดขึ้นจริง แต่ได้ยืนยันความบริสุทธ์ใจและแจ้งว่าไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้อง
จากนั้นมิจฉาชีพได้ให้ตนกดโค้ดหนึ่ง เพื่อทำการโอนสายไปยังเจ้าหน้าที่อีกหนึ่งคนที่อ้างว่าเป็นบุคลากรของตำรวจไซเบอร์ แต่โค้ดดังกล่าวคาดว่าเป็นโค้ดที่ทำให้โทรศัพท์บล็อกเบอร์จากบุคคลอื่นให้ไม่สามารถติดต่อสื่อสารได้ นอกจากนี้ยังได้ขอไลน์และวิดิโอคอลหาตน โดยมิจฉาชีพกล่าวอ้างว่าจะใช้ภาพและวิดีโอในส่วนนี้ไปใช้ในชั้นศาลเพื่อทำการฟ้องนายศรัทธา
หลังจากที่ได้พูดคุยกัน มิจฉาชีพอ้างว่ามีการติดตามตำแหน่งตนอยู่ และห้ามไม่ให้ตนบอกเรื่องนี้กับใคร เพราะเป็นความลับทางราชการ และข่มขู่ว่าหากนำไปบอกใครจะทำให้ผู้นั้นโดนดำเนินคดีไปด้วย ทำให้ตนเกิดความกังวลและกลัวเพราะไม่สามารถบอกใครและไม่กล้าเดินทางมาที่บริษัทฯ มิจฉาชีพยังนำเอกสารที่เกี่ยวข้องกับคดีความดังกล่าวจากศาล และ ปปง.มาแสดงให้ตนเห็น ทำให้ตนเชื่ออย่างสนิทใจ
มิจฉาชีพได้ให้ตนยืนยันความบริสุทธิ์ด้วยการโอนเงินไปให้เพื่อนำไปตรวจสอบเส้นทางการเงินแล้วจะได้รับคืนภายใน 10-15 นาที ตนจึงได้โอนไปให้ในครั้งแรกเป็นจำนวน 2 ล้านบาท เมื่อถึงกำหนดเวลาที่จะได้รับเงินคืน มิจฉาชีพอ้างว่าอยู่ในระหว่างการประชุมเพื่อนำเรื่องแจ้งให้ผู้บังคับบัญชาเพื่อทำการตรวจสอบ ซึ่งตลอดเวลาได้ห้ามไม่ให้ตนวางสายวิดีโอคอล และมีการพูดคุยกันเป็นระยะ ๆ
กระทั่งเวลาประมาณ 24.00 น.ของวันที่ 8 ธ.ค.67 มิจฉาชีพอ้างว่ามีการตรวจสอบยอดแล้ว และให้ตนโอนเงินเพิ่มอีกจำนวน 2 ล้านบาท เพื่อทำการตรวจสอบเพิ่มเติม ซึ่งตนก็โอนไปให้อีก 2 รอบ รอบแรกจำนวน 500,000 บาท และรอบสองจำนวน 1,500,000 บาท โดยรวมการโอนทั้งสิ้น 3 ครั้ง เป็นเงินจำนวน 4 ล้านบาท ไปยังบัญชีเดียวชื่อกันคือ น.ส.ปริชาติ แซ่เอี๊ยว
หลังจากนั้นตนเริ่มสงสัยและแน่ใจว่าถูกหลอก ในช่วงเช้าของวันที่ 8 ธ.ค.67 จึงได้ตัดสินใจโทรอายัดบัญชีชั่วคราวและบันทึกภาพวิดีโอไว้เป็นหลักฐาน พร้อมเดินทางเข้าแจ้งความที่ สน.สุทธิสาร
ด้าน นายณวัฒน์ อิสระไกรศีล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร MGI กล่าวว่า ตนนำคลิปวิดีโอขณะที่ น.ส.ชาล็อต พูดคุยกับมิจฉาชีพไปให้คนรู้จักตรวจสอบ คาดว่าคลิปวิดีโอคอลดังกล่าวเป็น AI อีกทั้งคิดว่า น.ส.ชาล็อต จะไม่ได้รับเงินคืน เนื่องจากมิจฉาชีพส่วนมากอยู่ต่างประเทศ แต่ที่มาแถลงข่าวในวันนี้เพื่อเป็นอุทาหรณ์ให้ใครอีกหลาย ๆ คน
ทั้งนี้ พล.ต.ต.วิวัฒน์ คำชำนาญ รองผู้บัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (รอง ผบช.สอท.) และ พล.ต.ต.ชัชปัณฑกาณฑ์ คล้ายคลึง ผู้บังคับการ สอท.1 พร้อมเจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวนและสอบสวน ได้เดินทางมารับข้อมูลดังกล่าวเพื่อโอนย้ายคดีจาก สน.สุทธิสาร มายัง บช.สอท.
โดย พล.ต.ต.วิวัฒน์ กล่าวว่า จากข้อมูลที่ได้รับเบื้องต้นทราบว่าทางผู้เสียหายได้เข้าแจ้งความกับพนักงานสอบสวน สน.สุทธิสาร แล้ว และทางพนักงานสอบสวนได้อายัดบัญชีไว้แล้ว ทราบเป็นการโอนเข้าบัญชีม้าและถูกโอนออกไปยังบัญชีอื่น ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบ โดยจะโอนย้ายคดีที่อยู่ในความรับผิดชอบของ สน.สุทธิสาร มาอยู่ในความรับผิดชอบของ สอท. ซึ่งจะได้เร่งติดตามสืบสวนขยายผลให้เร็วที่สุด คาดว่าจะมีความคืบหน้าภายในหนึ่งสัปดาห์
สำหรับหลักฐานที่เป็นคลิปวีดิโอที่บันทึกเอาไว้ขณะมีการพูดคุยกับมิจฉาชีพที่ใช้ระบบ AI เป็นลักษณะแอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่นั้นยอมรับว่านวัตกรรมของมิจฉาชีพมีความก้าวหน้าไปมาก โดยจะใช้การเชื่อมต่อสัญญาณผ่านระบบดาวเทียวสตาร์เทคสุ่มผู้เสียหายหลอกเอาเงิน โดยไม่ได้เจาะจงไปที่ใครคนใดคนหนึ่ง เมื่อเหยื่อหลงเชื่อก็จะล้วงถามเอาข้อมูล ตามแผนการของมิจฉาชีพ ที่ผ่านมามีหลายคดีที่ตำรวจสามารถนำเงินมาคืนให้กับผู้เสียหายได้ ซึ่งจากหลักฐานเบื้องต้นคาดว่าคดีนี้ไม่ใช่คดีที่ซับซ้อน ถึงแม้ปลายทางจะมีการโอนเงินเปลี่ยนเป็นสกุลดิจิตอลแล้วก็ตาม เจ้าหน้าที่สามารถติดตามเส้นทางการเงินได้