
ตามที่ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้มีข้อสั่งการให้ทุกหน่วยงานภาครัฐบูรณาการความร่วมมือ เดินหน้าปราบปราม หยุดยั้งการลักลอบผลิต นำเข้าหรือจำหน่าย เพื่อยับยั้งการแพร่ระบาดบุหรี่ไฟฟ้าทุกชนิด โดยให้เร่งดำเนินการจับกุม และเร่งสร้างภูมิคุ้มกันในการป้องกันการสูบบหรี่และบุหรี่ไฟฟ้าในเด็กและเยาวชนให้แล้วเสร็จภายใน 30 นั้น
นางพงษ์สวาท นีละโยธิน ปลัดกระทรวงยุติธรรม และพ.ต.ต.ยุทธนา แพรดำ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) ได้ร่วมกันลงพื้นที่สำนักงานศุลกากรทำเรือแหลมฉบัง สืบเนื่องจากกรณีที่ DSI ร่วมกับกรมศุลกากร และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) ร่วมกันตรวจยึดสินค้าผ่านแดนในตู้สินค้าหมายเลข TSSU5129398 BSIU9619966 TXGU5418901 และ JXLU7999350 โดยตรวจพบบุหรี่ไฟฟ้าชนิดใช้แล้วทิ้ง รวมทั้งสิ้น 121,490 ชิ้น คิดเป็นมูลค่า 21,868,200 บาท

อันเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.ศุลกากร พ.ศ. 2560 และเป็นของต้องห้ามตามประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง สินค้าต้องห้ามนำผ่านราชอาณาจักร พ.ศ. 2559 ประกอบประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง กำหนดให้บารากู่และบารากู่ไฟฟ้า หรือบุหรี่ไฟฟ้า เป็นสินค้าที่ต้องห้ามในการนำเข้ามาในราชอาณาจักร พ.ศ. 2557 และประกาศกรมศุลกากรที่ 185/2564 เรื่อง พิธีการศุลกากรว่าด้วยการผ่านแดนทางอิเล็กทรอนิกส์ ลงวันที่ 1 ธ.ค. 64 ข้อ 6
กรณีดังกล่าว เนื่องมาจากการสืบสวนสอบสวนขบวนการลักลอบนำเข้าบุหรี่ไฟฟ้าเข้ามาภายในราชอาณาจักร ภายใต้การอำนวยการของ นายธานินทร์ เปรมปรีดิ์ ผู้อำนวยการกองคดีภาษีอากร ได้สั่งการให้ พ.ต.ต.กล้าหาญ คล่องพยาบาล รองผู้อำนวยการกองคดีภาษีอากร นายปัณฑ์พิสิษฐ์ วิสาลเสสถ์ ผู้อำนวยการส่วนคดีภาษีอากร 2 พร้อมคณะเลขสืบสวนที่ 214/2567 พบว่ามีการนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศเข้ามาในประเทศไทย แต่ผู้นำเข้าไม่ดำเนินการทางพิธีการของศุลกากร จึงได้ทำการเปิดตู้สินค้าเพื่อตรวจสอบ และพบบุหรี่ไฟฟ้าชนิดใช้แล้วทิ้ง ซุกซ่อนปะปนกับสินค้าอื่น
สำหรับของกลางที่ตรวจยึดได้นี้ กรมศุลกากรจะได้ประเมินราคา เพื่อแจ้งให้หน่วยงานที่รับผิดชอบเพื่อดำเนินคดี โดยกรมสอบสวนคดีพิเศษ จะได้เร่งทำการสืบสวนสอบสวนและขยายผลไปยังตัวการ ผู้ใช้ และผู้สนับสนุน ภายใต้การบังคับใช้กฎหมายที่เกี่ยวข้อง และมาตรการพิเศษอย่างเด็ดขาด เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพและประสิทธิผลในการป้องกัน ปราบปราม และแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดของบุหรี่ไฟฟ้าให้เกิดผลสัมฤทธิ์อย่างเป็นรูปธรรมชัดเจนต่อไป