
นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.มหาดไทย เผยความคืบหน้าการตรวจสอบข้อเท็จจริง กรณีอาคารสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) แห่งใหม่ ย่านจตุจักร ถล่ม ว่า ขณะนี้คณะกรรมการฯ ได้วางกรอบการทำงานไว้หมดแล้ว โดยได้รายงานให้ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และตนได้ทราบถึงหนึ่งในสาเหตุ ซึ่งตรงกับที่ ศ.กิตติคุณ ดร.วรศักดิ์ กนกนุกุลชัย ราชบัณฑิตสาขาวิศวกรรมโครงสร้าง ได้ออกมาเปิดเผยถึงข้อสันนิษฐานทางสื่อสังคมออนไลน์ โดยทั้ง 2 หน่วยงานไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกัน ต่างคนต่างใช้ข้อมูลในการวิเคราะห์คำนวณหาสาเหตุ ในส่วนของคณะกรรมการฯ ก็ต้องคำนวณในเชิงลึกเพื่อให้เกิดความมั่นใจและไม่มีข้อสงสัย ไม่มีการโต้แย้ง อันเป็นเรื่องของทางวิศวกรรมศาสตร์ที่ใช้การคำนวณหลักทางวิทยาศาสตร์เป็นหลัก ไม่ได้ใช้วิจารณญาณหรือดุลพินิจ
"ตอนนี้เราไปดูเรื่องการออกแบบก่อน เพราะมีเรื่องการออกแบบที่ไม่สมมาตร ซึ่งเมื่อเกิดแผ่นดินไหว นอกจากจะเกิดการแกว่งของตัวตึกแล้ว พอการออกแบบอาคารไม่สมมาตร ก็ทำให้เกิดแรงบิดด้วย ซึ่งเป็นไปตามหลักวิศวกรรมศาสตร์ เมื่อเกิดเหตุเช่นนั้น เราต้องไปดู Safety Factor ว่าได้ออกแบบให้เกิดความปลอดภัย ทนต่อแรงบิด แรงเฉื่อย ตามหลักวิศวกรรมตามกฎหมายหรือไม่" นายอนุทิน กล่าว
ขณะที่กรมโยธาธิการและผังเมือง ที่มีหน้าที่ตรวจสอบหาสาเหตุตึกถล่มในเชิงวิศวกรรมศาสตร์ ส่วนเรื่องการกระทำผิด เรื่องฮั้ว เรื่องการทุจริต เรื่องการประมูล ไม่ใช่หน้าที่ของกรมโยธาธิการและผังเมือง โดยคณะกรรมการฯ จะตรวจสอบและสรุปข้อมูลเพื่อที่จะส่งไปให้ทางสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน ซึ่งเป็นเจ้าของโครงการได้รับทราบเพื่อไปดำเนินการต่อ ซึ่งผู้ที่เป็นคณะกรรมการฯ นั้นเป็นผู้ทรงคุณวุฒิ เป็นอาจารย์ เป็นนายกสภาวิศวกร เป็นกรรมการวิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทย เป็นตัวแทนของคณะวิศวกรรมศาสตร์จากสถาบันอุดมศึกษาต่าง ๆ ที่มีความน่าเชื่อถือได้ทั้งหมด
"เป็นเรื่องทางเทคนิค เมื่อคณะกรรมการฯ ขอเวลา 90 วัน สิ่งที่เราจะต้องขอร้องก็คือ มีทางที่ทำให้เร็วขึ้นหรือไม่ ซึ่งท่านเหล่านั้นยืนยันว่า เรื่องนี้ถ้ามีผลสรุปออกมาแล้วต้องไม่มีข้อโต้แย้ง ผิดก็ต้องผิดเลย ไม่มีการเอาไปดูว่าผิดไหม ซึ่งเขามีการตรวจสอบคำนวณเชิงลึกแยกตามสถาบันด้วย ต่างคนต่างคำนวณ แล้วจึงมาประชุมสรุปร่วมกัน กระทรวงมหาดไทยไม่สามารถไปก้าวก่าย หรือไปล่วงละเมิดได้" นายอนุทิน กล่าว
ส่วนเรื่องการปลอมแปลงเอกสารนั้น เท่าที่ติดตามจากข่าวทราบว่า กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) กำลังติดตามเรื่องนี้อยู่ แต่โดยส่วนตัว ตนในฐานะเป็นวิศวกรคนหนึ่งที่ฟังแล้วไม่สบายใจ เพราะเรื่องพวกนี้เป็นเรื่องวิชาชีพ เหมือนกับแพทย์ที่ไปออกใบรับรองแพทย์ที่ไม่เป็นไปตามความจริง ผิดหลักจรรยาบรรณแพทย์ ซึ่งการปลอมแปลงลายเซ็นต์เป็นเรื่องใหญ่มาก ถ้าเป็นเรื่องจริงก็ต้องดำเนินคดี
นายอนุทิน กล่าวว่า จะเชิญกรมโยธาธิการและผังเมืองมาหารือว่า กรมฯ ได้มีการควบคุมเรื่องของจรรยาบรรณวิชาชีพหรือไม่ เช่น สภาวิศวกรที่เป็นคนออกใบอนุญาต (License) วิศวกร ขึ้นอยู่กับกระทรวงมหาดไทย ถ้าเป็นเช่นนั้น ก็ต้องมีการดำเนินการตามกฎหมาย ถ้ามีการปลอมลายเซ็นต์หรือปลอมแปลงเอกสารที่เป็นไปตามในข่าวจริง
"การที่ว่าส่ง ๆ มาแล้วก็เซ็น ๆ ไป อย่างนั้นไม่ใช่ความเป็นวิชาชีพ ทำแบบนั้นไม่ได้เด็ดขาด การจะเซ็นอะไรที่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัย ที่เกี่ยวข้องกับการต้องใช้ License ใบอนุญาตต่าง ๆ ก็ต้องมีความเข้มงวด และได้รับการปฏิบัติด้วยตนเอง" นายอนุทิน ระบุ
ส่วนเงินเยียวยาครอบครัวผู้เสียชีวิต และผู้ได้รับบาดเจ็บจากกรณีดังกล่าวนั้น ขณะนี้ กรมบัญชีกลางได้ให้ความเห็นชอบตามที่กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) เสนอ โดยยกเว้นหลักเกณฑ์รายจ่ายที่จำเป็นต้องจ่ายเพื่อการเยียวยา หรือบรรเทาความเสียหายจากภัยพิบัติสาธารณะกรณีฉุกเฉิน เพื่อให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยกรณีแผ่นดินไหว และได้รับการจัดสรรงบประมาณผ่าน ปภ. โดยเป็นเงินค่าช่วยเหลือทำศพ และช่วยเหลือครอบครัวผู้เสียชีวิตกรณีเหตุแผ่นดินไหวรายละ 100,000 บาท จากเดิมรายละ 20,000 กว่าบาท
ขณะนี้ ปภ.ได้ประสานญาติของทุกครอบครัวเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และในวันพรุ่งนี้ (18 เม.ย.) หลังจากจบการประชุมปิดศูนย์ป้องกันและลดอุบัติเหตุช่วงเทศกาลสงกรานต์ ปภ. จะได้มอบเงินเยียวยาดังกล่าวให้แก่ครอบครัวผู้เสียชีวิตที่มีภูมิลำเนาในกรุงเทพฯ ในส่วนต่างจังหวัด จะให้ผู้ว่าราชการจังหวัดนั้นๆ เป็นผู้มอบต่อไป
"เงินในส่วนนี้ เป็นเพียงส่วนเดียว แต่ผู้ได้รับความเสียหายก็ต้องได้รับเงินชดเชยส่วนอื่น ๆ อีก เช่น เงินประกันทั้งจากผู้ว่าจ้าง ผู้รับเหมา และจากประกันสังคม ที่เป็นสิทธิตามกฎหมาย และการเยียวยานี้ รวมไปถึงผู้บาดเจ็บที่ถึงขั้นสูญเสียอวัยวะ ก็จะมีค่าชดเชยความเสียหายจากงบประมาณในส่วนนี้ด้วย เป็นความตั้งใจของทางรัฐบาล และทุกฝ่าย" รองนายกฯ และรมว.มหาดไทย กล่าว