
น.ส.ทวิดา กมลเวชช รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.) เผยความคืบหน้าภารกิจค้นหาผู้ติดค้าง และการรื้อถอนซากอาคารสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ที่พังถล่มจากเหตุแผ่นดินไหวว่า เมื่อวานนี้พบผู้ติดค้างเพิ่มเติม 2 รายในบริเวณที่คาดว่าเป็นบันไดหนีไฟ ตามที่ทีมค้นหาจากนานาชาติได้มีการประเมินและระบุจุดต้องสงสัยไว้ ส่งผลให้ปัจจุบันพบผู้เสียชีวิตแล้ว 62 ราย บาดเจ็บ 9 ราย และอยู่ระหว่างการค้นหาอีก 32 ราย จากผู้ได้รับผลกระทบทั้งหมด 103 ราย
ส่วนความคืบหน้าการดำเนินงานกู้ซากอาคารสามารถลดระดับความสูงโดยเฉลี่ยทั้ง 4 โซน ลงจากวันแรกที่ 26.8 เมตร เหลือเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 3.5 เมตรแล้ว โดยลดลงจากวานนี้ประมาณ 1 เมตร มั่นใจว่าอีก 2-3 วันหลังจากนี้จะพบผู้ติดค้างที่เหลือเพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ขณะที่การดำเนินการวันนี้ทีมเจ้าหน้าที่มีการตั้งเป้าหมายว่าจะดำเนินการรื้อถอน ค้นหา และขนย้ายเศษซากอาคารออกจากพื้นที่ให้ได้ถึง 330 เที่ยว เพื่อให้การดำเนินงานมีความคืบหน้าอย่างรวดเร็วที่สุด และแผนปฏิบัติการต่อจากนี้จะมุ่งเน้นไปที่ชั้นใต้ดิน โดยเฉพาะโซน B, A และ D ที่ต้องใช้วิธีเจาะเป็นรูปตัวยู คาดว่าหากสามารถเปิดพื้นที่ถึงบริเวณพื้นชั้น 1 ได้ภายใน 2-3 วันนี้ และการเคลียร์ชั้นใต้ดินที่มีความลึกประมาณ 4 เมตร จะใช้เวลาอีกประมาณ 1 สัปดาห์ โดยวานนี้ใช้น้ำมันในการขนย้ายประมาณ 6,600 ลิตร เนื่องจากเครื่องจักรหนักทำงานตลอดเวลา พร้อมยืนยันว่าจะทำงานทุกขั้นตอนอย่างละเอียด รอบคอบ เพื่อนำร่างผู้ติดค้างออกมาให้ได้อย่างสมบูรณ์ที่สุด
สำหรับค่าใช้จ่ายในการปฏิบัติงานเป็นความรับผิดชอบของ กทม. ส่วนในอนาคตหากมีการดำเนินคดีและพบผู้กระทำผิดจะเป็นเรื่องของการดำเนินการทางระเบียบกฎหมาย ซึ่งขณะนี้ กทม.มุ่งมั่นทำงานให้ประสบความสำเร็จตามเป้าหมายโดยยังไม่ได้คำนึงถึงเรื่องค่าใช้จ่ายที่ได้ใช้ไป
ปัจจุบัน กทม.มีการออกใบมรณบัตรแล้ว 44 ใบโดยสำนักงานเขตจตุจักร และรับรองการเสียชีวิตแล้ว 33 ราย เหลืออีก 11 รายอยู่ในระหว่างการดำเนินการ ส่วนผู้บาดเจ็บที่เคยมี 8 ราย ขณะนี้เหลือเพียง 1 รายที่ยังพักรักษาตัวในโรงพยาบาล ขณะเดียวกันมีการยืนยันอัตลักษณ์ผู้เสียชีวิตแล้ว 62 ราย โดยยังคงต้องค้นหาชิ้นส่วนและร่างที่สูญหายอีก 32 ราย เพื่อดำเนินการพิสูจน์อัตลักษณ์ต่อไป และส่งคืนให้กับญาติอย่างเหมาะสมต่อไป ซึ่งเมื่อนิติเวชมีการยืนยันอัตลักษณ์เพิ่มเติมแล้วจะมีการแจ้งให้สื่อมวลชนได้รับทราบต่อไป เพื่อให้การยืนยันจำนวนผู้เสียชีวิตชัดเจนและเป็นไปในทิศทางเดียวกัน
รองผู้ว่าฯ กทม. กล่าวว่า เจ้าหน้าที่ยังมีความพร้อมในการปฏิบัติงานอย่างเต็มที่และไม่มีปัญหาจากเรื่องสภาพอากาศที่ร้อนจัด แต่มี 2 รายที่มีปัญหาจากการทำงาน เช่น ข้อเท้าแพลง ความเครียด ความล้า และปวดท้อง ซึ่งเข้ารับการรักษาอยู่ ขณะเดียวกันมีภาคเอกชนติดต่อมาสนับสนุนเครื่องทำน้ำแข็งแล้ว และทางการประปานครหลวง (กปน.) จะสนับสนุนรถน้ำดื่มสะอาด ทำให้เจ้าหน้าที่มีน้ำดื่มเย็น ๆ ช่วยลดปัญหาด้านอากาศที่ร้อนได้อีกทางหนึ่ง
ส่วนการเยียวยาผู้ประสบความเดือดร้อนจากเหตุแผ่นดินไหว กทม.ได้ขยายเวลายื่นเรื่องจนถึงวันที่ 2 พ.ค.68 โดยเขตที่มีผู้ยื่นเรื่องมากที่สุด ได้แก่ เขตจตุจักร ภาษีเจริญ ห้วยขวาง ธนบุรี ราชเทวี วัฒนา เนื่องจากมีอาคารสูงค่อนข้างมาก ทำให้มียอดผู้ประสบภัยจำนวนมาก ส่วนการเตรียมหลักฐานในการยื่นคำขอหนังสือรับรองกรณีผู้ประสบภัยฯ เหตุแผ่นดินไหว ต้องขอความร่วมมือประชาชนอำนวยความสะดวกให้กับเจ้าหน้าที่ด้วย อาทิ บัตรฯ ประชาชน ทะเบียนบ้าน ทะเบียนกรรมสิทธิ์ห้อง บัญชีธนาคาร ใบมรณบัตร ใบรับรองแพทย์ต่าง ๆ ซึ่งอาจจะไม่ได้รับความสะดวกบ้าง แต่ กทม.กำลังพัฒนาเรื่องขั้นตอนการรับหลักฐาน โดยประสานกับกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) กรมบัญชีกลาง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อปรับการปฏิบัติงานรับหลักฐานในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ โดยไม่ต้องมายืนยันตัวตนด้วยตนเอง อย่างไรก็ตามขณะนี้การยืนยันหลักฐานด้วยตนเองเพื่อขอรับเงินก็เป็นสิ่งที่ดีที่จะป้องกันเรื่องของการสวมตัว สวมสิทธิ์ ซึ่งปัจจุบันจำนวนผู้ยื่นเรื่องอยู่ที่ประมาณ 40,000 กว่าคน ดังนั้นกระบวนการในการพิจารณาจ่ายเงินเยียวยาจึงอาจต้องใช้เวลาพอสมควรกว่าที่จะได้รับเงิน
สำหรับเรื่องเพดานเงินชดเชยเยียวยาของกรมบัญชีกลางที่จะจ่ายเงินในอัตราต่าง ๆ โดยเทียบราคาจากวัสดุตามระเบียบที่ตั้งไว้ เนื่องจากภาครัฐมีอัตราราคาของวัสดุที่มีราคากลางที่ชัดเจน ซึ่งจำนวนเงินอาจจะไม่เป็นไปตามความต้องการของประชาชน เนื่องจากอาจจะเห็นว่าไม่เหมาะสมกับความเสียหายก็ต้องขอเวลาเพื่อประสานงานกับหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องว่าจะสามารถยืดหยุ่นตรงส่วนใดได้มากกว่านี้ นอกจากนี้เนื่องจากเป็นการชดเชยจากทางภาครัฐ ผู้ที่ทำประกันอาคารไว้ยังสามารถเคลมประกันจากทางบริษัทประกันและนิติบุคคลได้อีกทาง