ศาลปกครองมีคำสั่งให้ ขสมก.และรถร่วมฯ ชะลอการปรับขึ้นค่าโดยสาร

          ศาลปกครองกลางมีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวให้องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ(ขสมก.) และผู้ประกอบการรถร่วมเอกชน ระงับการปรับขึ้นค่ารถโดยสารตั้งแต่วันนี้(28 พ.ค.)เป็นต้นไปจนกว่าคดีจะถึงที่สุด หรือจนกว่าจะมีคำสั่งเป็นอย่างอื่น
          ศาลเห็นว่า มติของผู้ถูกฟ้องที่ 1(คณะกรรมการควบคุมการขนส่งทางบกกลาง) ดังกล่าวน่าจะไม่ชอบด้วยกฎหมาย ประกอบกับหากให้คำสั่งทางปกครองมีผลใช้บังคับต่อไปแล้วต่อมาศาลมีคำพิพากษาให้ผู้ฟ้องชนะคดีก็ย่อมจะเกิดความเสียหายอย่างร้ายแรงยากแก่การเยียวยาในภายหลังที่จะให้ผู้ประกอบการคืนเงินค่าโดยสารส่วนที่เพิ่มขึ้นแก่ผู้ฟ้องคดี รวมทั้งประชาชนทั่วไป อีกทั้งศาลเห็นว่าหากมีคำสั่งให้ทุเลาการบังคับมติของผู้ถูกฟ้องที่ 1 แล้วก็ไม่เป็นปัญหาอุปสรรคต่อการบริหารงาน และการบริหารงานของรัฐ รวมทั้งการบริการสาธารณะ เนื่องจาก ขสมก.ไม่ได้ร้องขอให้ปรับค่าโดยสารและยังคงให้บริการอยู่เช่นเดิม
          "จึงสมควรที่ศาลจะมีคำสั่งให้ทุเลาการบังคับขึ้นราคาค่ารถโดยสารประจำทางหมวด 1 และหมวด 4  โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ 28 พฤษภาคมนี้เป็นต้นไปจนกว่าคดีจะถึงที่สุด หรือจนกว่าจะมีคำสั่งเป็นอย่างอื่น" คำสั่งศาลปกครองกลาง ระบุ
          คดีนี้ นายบุญชัย รุ่งเรืองไพศาลสุข ประธานเครือข่ายคัดค้านการขึ้นค่าโดยสารรถสาธารณะ ได้ยื่นฟ้องคณะกรรมการควบคุมการขนส่งฯ, นายทรงศักดิ์ ทองศรี รมช.คมนาคม และนายสันติ พร้อมพัฒน์ รมว.คมนาคม เป็นผู้ถูกฟ้องที่ 1-3 เรื่องเป็นหน่วยงานทางปกครองและเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำการออกคำสั่งโดยมิชอบกรณีที่คณะกรรมการควบคุมการขนส่งฯ มีมติเมื่อวันที่ 20 พ.ค.51 อนุมัติให้ปรับขึ้นราคาค่าโดยสารรถประจำทางของ ขสมก., รถร่วม ขสมก., บริษัท ขนส่ง จำกัด(บขส.) และรถร่วม บขส. โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 25 พ.ค.51
          ทั้งนี้ ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า การพิจารณาปรับขึ้นอัตราค่าโดยสารรถดังกล่าวเป็นการออกคำสั่งทางปกครองโดยยังไม่มีข้อเท็จจริงประกอบการพิจารณาอย่างเพียงพอที่จะทำให้การพิจารณาปรับอัตราค่าโดยสารเป็นไปอย่างถูกต้อง เพราะข้อเท็จจริงปรากฏว่า มีรถโดยสารที่ติดตั้งระบบก๊าซเอ็นจีวี ซึ่งไม่ได้รับผลกระทบจากการขึ้นราคาน้ำมันดีเซลหมุนเร็วจำนวนมากถึง 2,073 คัน แยกเป็น รถโดยสาร ขสมก.จำนวน 104 คัน จาก 3,524 คัน และรถร่วม ขสมก.จำนวน 1,969 คัน จากจำนวน 6,938 คัน ซึ่งการพิจารณาปรับขึ้นค่ารถโดยสารตามมติคณะกรรมการควบคุมการขนส่งฯ เมื่อวันที่ 20 พ.ค.51 ควรนำข้อมูลดังกล่าวไปพิจารณาประกอบ