กระทรวงการต่างประเทศ เปิดเผยถ้อยแถลงของนายนพดล ปัทมะ รมว.ต่างประเทศ ในฐานะหัวหน้าคณะผู้แทนไทย ที่มีต่อการประชุมคณะกรรมการมรดกโลก สมัยที่ 32 ว่า มติการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกที่คณะกรรมการ ฯ ได้ให้การรับรองไปตั้งอยู่บนข้อบกพร่องและข้อจำกัดของคุณสมบัติต่าง ๆ ที่จำเป็นต่อการได้รับสถานะมรดกโลกที่สมบูรณ์ ตามข้อประเมินของอิโคโมสด้านทรัพย์สินทางวัฒนธรรม
ประเทศไทยประสงค์ให้บันทึกข้อสังเกตและข้อสงวนดังต่อไปนี้ นอกเหนือจากข้อขัดแย้งเรื่องพรมแดนต่าง ๆ ที่ยังไม่ได้รับการแก้ไขในพื้นที่รอบ ๆ ปราสาท พระวิหาร ประเทศไทยประสงค์จะชี้ให้เห็นว่า ข้อมติของคณะกรรมการมรดกโลกไม่สอดคล้องกับข้อเท็จจริงในทางปฏิบัติ เนื่องจากการกระทำหรือมาตรการ และการดำเนินการใด ๆ ที่จะติดตามมาหลังจากนี้ ไม่ว่าจะโดยกัมพูชาหรือฝ่ายที่สามอื่น ๆ ในพื้นที่ข้างเคียงปราสาทพระวิหารที่เป็นดินแดนไทยนั้น จะไม่สามารถดำเนินการได้จนกว่าจะได้รับความยินยอมของประเทศไทยเท่านั้น
ในฐานะประเทศภาคีอนุสัญญาคุ้มครองมรดกโลก ค.ศ. 1972 ประเทศไทยยืนยันสิทธิทั้งหลายทั้งปวงของไทยตามมาตรา 11 (3) ของอนุสัญญา ฯ ซึ่งกำหนดว่าการรวมเอาทรัพย์สินที่ตั้งอยู่ในดินแดน อธิปไตย หรือเขตอำนาจ ซึ่งอ้างสิทธิมากกว่าหนึ่งรัฐจะไม่มีผลกระทบต่อสิทธิของรัฐที่มีข้อพิพาท
ประเทศไทยขอย้ำว่า การประท้วงและคัดค้านเอกสารทั้งปวงที่กัมพูชาได้ยื่นเพื่อเสนอขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง รายงานทางเทคนิคของคณะผู้เชี่ยวชาญ และรายงานความก้าวหน้าที่เต็มไปด้วยข้อบกพร่อง เพราะประเทศไทยถูกปิดโอกาสไม่ให้เข้าร่วมอย่างเต็มที่จนจำใจต้องสงวนสิทธิและปลีกตัวออกจากรายงานดังกล่าวในท้ายที่สุด ประเทศไทยประสงค์ให้บันทึกแก่คณะกรรมการมรดกโลกว่า แผนบริหารจัดการของปราสาทพระวิหารที่เป็นไปได้ในทางปฏิบัติจะไม่มี ทางสมบูรณ์ได้ หากปราศจากความร่วมมือจากประเทศไทย
ประเทศไทยรู้สึกเศร้าใจที่ว่า คณะกรรมการมรดกโลกได้เพิกเฉยต่อข้อเท็จจริงที่ว่า ไทยมีฐานะเป็นประเทศที่มีส่วนได้ส่วนเสียสำคัญ และความเป็นไปได้ที่ไทยจะยื่นเสนอบริเวณโดยรอบในเขตแดนไทยที่มีลักษณะสอดคล้องเกื้อกูลต่อคุณค่าอันโดดเด่นอันเป็นสากลของปราสาทพระวิหารในฐานะมรดกโลก เพื่อให้คุณค่าของสินทรัพย์แห่งนี้ มีความสมบูรณ์ในฐานะมรดกโลกอย่างแท้จริง
ดังนั้น ประเทศไทยจึงขอย้ำ ณ ที่นี้ ถึงความตั้งใจที่จะยื่นจดทะเบียนสถานที่และอาณาบริเวณในดินแดนไทยที่เกี่ยวเนื่องกับปราสาทพระวิหาร เพื่อให้ได้รับสถานะเป็นมรดกโลก เพื่อให้คุณค่าความสำคัญและความสมบูรณ์ของสถานที่แห่งนี้ ปรากฏเป็นความจริง ในการนี้ ไทยจึงร้องขอคณะกรรมการ ฯ พิจารณาให้การสนับสนุนเจตนาของประเทศไทยในเรื่องนี้ด้วย
"ประเทศไทยจำเป็นต้องคัดค้านข้อมติในการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกตามที่กัมพูชาเสนอโดยฝ่ายเดียว เนื่องจากเป็นการขึ้นทะเบียนมรดกโลกที่ขาดความสมบูรณ์ และไม่เป็นไปตามหลักเกณฑ์"ถ้อยแถลงของนายนพดล ระบุ
ในนามของคณะผู้แทนไทย ขอแจ้งและให้ความมั่นใจกับคณะกรรมการมรดกโลกว่า ปัญหาการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกนี้ เป็นเพียงประเด็นเดียวในภาพรวมของความสัมพันธ์ไทยกับกัมพูชา รัฐบาลไทยยังคงให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับการทำงานอย่างใกล้ชิดกับรัฐบาลกัมพูชาในทุกเรื่องต่อไป เพื่อผลประโยชน์ร่วมกันของประเทศและประชาชนของทั้งสองประเทศ
สุดท้าย ไทยประสงค์จะย้ำการสงวนสิทธิต่าง ๆ ตามที่ระบุในหนังสือลงวันที่ 6 กรกฎาคม ค.ศ. 1962 โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของราชอาณาจักรไทย ถึงรักษาการเลขาธิการองค์การสหประชาชาติ และยืนยันรักษาสิทธิของไทยว่า การขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกจะไม่กระทบต่อสิทธิทั้งปวงของประเทศไทยเกี่ยวกับบูรณภาพแห่งดินแดนและอธิปไตย ตลอดจนการสำรวจและปักปันเขตแดนทางบกในพื้นที่ในอนาคต และท่าทีทางกฎหมายของประเทศไทย
--อินโฟเควสท์ โดย ฐานิสร์ ทองนอก/ศศิธร โทร.0-2253-5050 ต่อ 345 อีเมล์: sasithorn@infoquest.co.th--