ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท. )ระบุว่า 4 สมาคมในธุรกิจหลักทรัพย์เห็นพ้องแนวทางระดมมาตรการส่งเสริมการเพิ่มอุปสงค์ในประเทศเพื่อกระตุ้นการลงทุนในตลาดหุ้นไทยเพื่อรับมือวิกฤติเศรษฐกิจสหรัฐที่ส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นทั่วโลก เช่น การเพิ่มขนาดกองทุนแมทชิ่งฟันด์ การใช้มาตรการภาษี และ การปรับหลักเกณฑ์เพื่อสนับสนุนการซื้อหุ้นคืนของบริษัทจดทะเบียน
ขณะที่มองว่ามาตรการพิ่มเติมเพื่อคุมเข้มการทำชอร์ตเซลหรือการปล่อยมาร์จิ้นยังไม่มีความจำเป็นในขณะนี้เพราะมีปริมาณไม่มากถึงขั้นที่จะส่งผลกระทบในทางลบต่อตลาดหุ้นไทย พร้อมทั้งยืนยันไม่มีแนวคิดที่จะปิดทำการตลาดหุ้นนอกเหนือจากเกณฑ์เซอร์กิตเบรกเกอร์
นายปกรณ์ มาลากุล ณ อยุธยา ประธาน ตลท.แถลงภายหลังการหารือกับสมาคมบริษัทหลักทรัพย์ สมาคมบริษัทหลักทรัพย์ต่างประเทศ สมาคมบริษัทหลักทรัพย์จัดการลงทุน และสมาคมนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ว่า ที่ประชุมฯ เห็นควรเสนอมาตรการภาษีให้กระทรวงการคลังพิจารณาเพื่อส่งเสริมการลงทุน เช่น การลดหย่อนภาษีเงินปันผล, Capital gains tax สำหรับการลงทุนในพันธบัตรและหุ้นกู้
รวมทั้งเสนอทบทวนเรื่องการตั้งกองทุนรวมเพื่อการศึกษา(Education Mutual Fund) เพื่อส่งเสริมการลงทุนของนักลงทุนสถาบัน และประโยชน์ในการศึกษาของประชาชนในทุกระดับ
นอกจากนี้ ตลท.จะพิจารณาขยายวงเงินลงทุน Matching Fund และพร้อมที่จะร่วมลงทุนให้กับผู้ที่สนใจจะลงทุนเพิ่มเติมในลักษณะ Opportunity Fund โดยจะทำงานร่วมกับสมาคมบริษัทหลักทรัพย์ สมาคมนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ และสมาคมบริษัทหลักทรัพย์จัดการลงทุน เพื่อประเมินมูลค่าหุ้นใหม่โดยนำสถานการณ์ปัจจุบันเข้ามาพิจารณาต่อไป
อีกทั้ง ตลท.จะทำงานร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์(ก.ล.ต.)และกระทรวงพาณิชย์ เพื่อพิจารณาปรับเกณฑ์การซื้อหุ้นคืนเพื่อส่งเสริมการซื้อหุ้นคืนของบริษัทจดทะเบียน(บจ.) โดยที่ผ่านมามีบจ.สนใจซื้อหุ้นคืนแล้ว 14 บริษัท และยังมีที่สนใจอีกจำนวนมาก
นายปกรณ์ กล่าวอีกว่า ในการหารือกันวันนี้เห็นพ้องกันว่าการปรับตัวลดลงของดัชนี SET และมาร์เก็ตแคปของตลาดหุ้นไทยที่ลดลงมาเหลือ 4 ล้านล้านบาท ถือว่าเป็นไปในทิศทางเดียวกับตลาดุห้นทั่วโลกที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤติเศรษฐกิจสหรัฐ ที่ทำให้ความเชื่อมั่นของผู้ลงทุนทั้งไทยและต่างประเทศลดลง และอาจทำให้ระดับราคาหุ้นเคลื่อนไหวค่อนข้างผันผวน ผู้ลงทุนจึงควรใช้ความระมัดระวังในการลงทุน พิจารณาเลือกลงทุนในหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานดีเท่านั้น โดยต้องติดตามข่าวสารต่างๆ อย่างใกล้ชิด
อย่างไรก็ตาม ช่วงที่ผ่านมาพบว่ามีผู้มีเงินออมได้เข้าเลือกลงทุนในหุ้นพื้นฐานดีเป็นระยะๆ เนื่องจาก เห็นว่ามีหุ้นของบริษัทพื้นฐานดีหลายตัวที่มีอัตราผลตอบแทบจากเงินปันผลที่สูงกว่าร้อยละ 10 ซึ่งเป็นโอกาสที่จะได้รับผลตอบแทนที่ดี ดังนั้น สมาคมนักวิเคราะห์หลักทรัพย์จะทำการประเมินมูลค่าหุ้นใหม่ โดยนำสถานการณ์ปัจจุบันมาใช้ประกอบด้วย เพื่อให้ผู้ลงทุนได้มีข้อมูลในการตัดสินใจลงทุนได้อย่างชัดเจนมากยิ่งขึ้น
และจากจาการที่ได้รับการส่งเสริมจากกระทรวงการคลังในการขยายวงเงินลงทุนใน LTF และ RMF คาดว่าในช่วง 3 เดือนหลังของปีนี้จะมีเม็ดเงินเข้ามาลงทุนเพิ่มขึ้นเช่นเดียวกับปีก่อนที่มีเม็ดเงินลงทุนเข้ามามากกว่า 10,000 ล้านบาท
นายปกรณ์ กล่าวยืนยันว่า ตลท.ไม่มีแนวคิดที่จะปิดทำการตลาดหุ้นเพื่อหยุดยั้งการเทขายอย่างตื่นตระหนกเหมือนอย่างตลาดหุ้นในประเทศเพื่อนบ้าน แต่จะใช้หลักเกณฑ์เซอร์กิตเบรกเกอร์ที่มีอยู่ เนื่องจากมองว่านักลงทุนควรมีอิสระในการป้องกันความเสี่ยงของตนเอง และเกรงว่าหากปิดทำการกระทันหันจะทำให้นักลงทุนยิ่งตื่นตกใจและเทขายอย่างหนักทันที่ที่เปิดทำการมาอีกครั้ง
นอกจากนั้น ตลท.ยังไม่เห็นความจำเป็นในการออกมาตรการเพิ่มเติมเพื่อเพิ่มความเข้มงวดในการดูแลสินเชื่อเพื่อการซื้อขายหลักทรัพย์(มาร์จิ้น โลน)และการทำ short sellling เนื่องจากปริมาณธุรกรรมทั้งสองไม่ได้สูงจนถึงระดับที่จะทำให้ภาพรวมตลาดหุ้นมีปัญหา
โดยขณะนี้ยอดรวมการกู้ยืมเพื่อซื้อหลักทรัพย์ทั้งระบบมีประมาณ 27,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นระดับที่ปกติ หากต้องมีการ force sell ก็จะไม่ส่งผลกระทบต่อตลาดทุน อย่างไรก็ตาม สมาคมบริษัทหลักทรัพย์และตลาดฯ จะติดตามสถานการณ์และผลกระทบอย่างใกล้ชิดต่อไป ส่วนการทำ short selling มีเพียงประมาณ ร้อยละ 0.6-0.7 ของมูลค่าการซื้อขายต่อเดือน
อนึ่ง ดัชนี SET เมื่อเวลา 11.27 น. อยู่ที่ 463.78 จุด ลดลง 36.21 จุด (-7.24%)
--อินโฟเควสท์ โดย จริญยา ดำสมาน/รัชดา/ศศิธร โทร.0-2253-5050 ต่อ 345 อีเมล์: sasithorn@infoquest.co.th--