เอแบคโพลล์เผยคนไทยชู"อานันท์"นั่งนายกฯใหม่ ชี้คุณสมบัติต้องเก่งด้านศก.

ข่าวทั่วไป Sunday December 7, 2008 11:01 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

สำนักวิจัยเอแบคโพลล์ มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ เปิดเผยผลวิจัยเรื่อง "ความในใจของสาธารณชน อุทาหรณ์จากความขัดแย้งทางการเมือง และนายกรัฐมนตรีคนใหม่ของประเทศไทย" พบว่าประชาชนส่วนใหญ่เห็นว่านายอานันท์ ปันยารชุน มีความเหมาะสมมากที่สุดที่จะดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี รองลงมาคือ ร.ต.อ.ปุระชัย เปี่ยมสมบูรณ์ และนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ พร้อมเห็นว่านายกรัฐมนตรีคนใหม่ต้องเก่งในเรื่องการแก้ปัญหาเศรษฐกิจปากท้องมากกว่าเรื่องสังคมหรือการเมือง

ส่วนทางออกของปัญหาบ้านเมืองในขณะนี้ พบว่าประชาชน 26.2% เห็นว่ารัฐบาลควรยุบสภา คืนอำนาจให้ประชาชนและเลือกตั้งใหม่ ส่วนอีก 20.3% เห็นว่าควรเร่งส่งเสริมความสามัคคีในกลุ่มประชาชน และอีก 17.5% เห็นว่าทุกฝ่ายหันหน้าเข้ามาพูดคุยกันด้วยเหตุผลและร่วมกันแก้ไขปัญหาของชาติ เป็นต้น

เมื่อสอบถามถึงความในใจของประชาชนที่มีต่อสถานการณ์ความขัดแย้งที่ผ่านมา โดยเมื่อสอบถามถึงสิ่งที่อยากจะบอกกับนักท่องเที่ยวชาวต่างประเทศที่ได้รับผลกระทบจากการชุมนุมประท้วงที่ผ่านมา พบว่า ประชาชนส่วนใหญ่ 67.1% ระบุขอโทษจากใจประชาชนคนไทยทุกคน ขณะที่ 28.2% ยืนยันว่าประเทศไทยยังมีความปลอดภัย/เป็นสยามเมืองยิ้ม/คนไทยรักสันติและอยากให้กลับมาเที่ยวอีก

สำหรับสิ่งที่อยากจะบอกกับกลุ่มผู้ชุมนุมประท้วงต่างๆ นั้น ประชาชน 41.2% ขอให้ยุติการชุมนุม/อย่าให้มีการชุมนุมเกิดขึ้นอีก ในขณะที่ 38.2% ขอให้คิดถึงประเทศชาติเป็นหลัก/อย่าทำให้ประเทศชาติได้รับความเสียหาย ส่วนสิ่งที่ประชาชนอยากบอกกับกลุ่มนักการเมือง พบว่า 30.2% ระบุให้นักการเมืองเลิกทุจริตคอรัปชั่น ขณะที่ 28.3% ขอให้รักประเทศอย่างจริงจัง และตั้งใจทำงานเพื่อประเทศชาติทดแทนคุณแผ่นดิน และอีก 23.5% ระบุให้เลิกเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตนและพวกพ้อง

นายนพดล กรรณิกา ผู้อำนวยการสำนักวิจัยเอแบคโพลล์ มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ ระบุว่า ทางออกที่เหมาะสมสำหรับสถานการณ์การเมืองภายในประเทศไทยต่อไป ไม่น่าจะเป็นการย้ายฝั่งสลับขั้วโดยฝ่ายการเมืองเพียงอย่างเดียว ทางออกที่น่าพิจารณามีอยู่อย่างน้อย 3 ทาง คือ ทางแรก "โมเดลแห่งการปันอำนาจรัฐ" โดยให้ทุกฝ่ายการเมืองมีส่วนร่วมในการบริหารจัดการปัญหาของประเทศ

ทางที่สองคือ ผู้ที่จะเป็นนายกรัฐมนตรีหากเกิดการย้ายขั้วสลับข้างทางการเมืองต้องสามารถเชื่อมประสานทุกกลุ่มการเมืองและให้สาธารณชนมั่นใจได้ว่าจะไม่เกิดความขัดแย้งรุนแรงบานปลายกันอีก และทางที่สาม คือ การยุบสภาคืนอำนาจให้ประชาชนใช้สิทธิเลือกตั้งใหม่ แต่ก่อนเลือกตั้งใหม่จำเป็นต้องมียุทธศาสตร์แห่งการปรับเจตคติและพฤติกรรมแก้ปัญหาการซื้อสิทธิขายเสียง และการโกงการเลือกตั้งในกลุ่มเจ้าหน้าที่ของรัฐเสียก่อน

ผลการสำรวจดังกล่าวมาจากความเห็นของประชาชนในเขตกรุงเทพมหานคร และต่างจังหวัด จำนวนทั้งสิ้น 3,864 ตัวอย่าง ระยะเวลาการดำเนินโครงการระหว่างวันที่ 3-6 ธ.ค.51


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ