(เพิ่มเติม) นายกฯ ให้ความมั่นใจกับนักลงทุนอีก 2-3 เดือนเห็นความก้าวหน้าของไทย

ข่าวทั่วไป Monday January 19, 2009 17:01 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ให้ความมั่นใจกับนักลงทุนว่า ในอีก 2-3 เดือนข้างหน้าจะเห็นความก้าวหน้าของประเทศไทยอย่างชัดเจน โดยความไม่แน่นอนในด้านต่างๆ จะเริ่มลดน้อยลง และจะได้เห็นประเทศไทยก้าวเดินไปข้างหน้า พร้อมกันนี้นายกรัฐมนตรี ยังขอความร่วมมือจากนักลงทุนต่างชาติในการร่วมกันพัฒนาประเทศไทยให้ก้าวหน้าต่อไปด้วย

ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีได้พบปะกับนักลงทุนพร้อมร่วมรับประทานอาหารกลางวัน พร้อมกล่าวปาฐกถาพิเศษในงาน "นายกรัฐมนตรีพบนักลงทุน"

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า นโยบายรัฐบาลจะช่วยเหลือกลุ่มนักลงทุนที่ลงทุนจริง เพราะมีผลในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของไทยในระยะยาวมากกว่าการลงทุนแบบเก็งกำไร ซึ่งมีความแตกต่างกันอย่างชัดเจน เพราะเศรษฐกิจของไทยถูกขับเคลื่อนโดยภาคเอกชนเป็นหลัก ที่ผ่านมาการเติบโตทางเศรษฐกิจของไทยมีนักลงทุนเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อน โดยอาศัยศักยภาพการแข่งขัน และพลังทางด้านการตลาด รัฐบาลเป็นเพียงผู้สร้างความมั่นใจ ความแน่นอน และมีธรรมาภิบาลที่ดี

ทั้งนี้ จะเห็นได้ว่าเมื่อปีที่แล้วแม้ไทยจะเกิดวิกฤตการเมืองและขาดเสถียรภาพทางการเมือง แต่ยังมีโอกาสขยายตัวในระยะยาว เพราะที่ผ่านมาพื้นฐานทางด้านเศรษฐกิจมีความแข็งแกร่งที่ดีมีการวางแนวทางการแก้ไขปัญหามาเป็นเวลานานแล้ว มีการเติบโตทางเศรษฐกิจมาตลอด โดยเชื่อว่าการตลาดจะช่วยให้ไทยพัฒนาไปได้ตลอด และมีการออกมาตรการต่างๆ เพื่อจัดการวิกฤติเศรษฐกิจที่เกิดขึ้น เนื่องจากไทยเป็นประเทศที่มีตลาดที่ใหญ่ สามารถผลิตสินค้าเพื่อขายในประเทศ และการที่ไทยมีคู่ค้าในตลาดโลกหลายประเทศ เมื่อมีปัญหาเกิดขึ้นในสหรัฐหรือสหภาพยุโรป ไทยก็สามารถที่จะจัดการเปลี่ยนตลาดส่งออกไปตลาดอื่นได้จึงเชื่อว่าไทยยังสามารถขยายตัวทางเศรษฐกิจ และการส่งออกได้

ด้านราคาพลังงานที่ผันผวนก็จะเป็นโอกาสอีกมากในการทำธุรกิจ เพราะไทยมีอุตสาหกรรมการเกษตรที่มั่นคง และกว้างขวาง เรามั่นใจว่าปัญหาวิกฤติด้านอาหารและพลังงานจะกลับมาอีก ดังนั้นรัฐบาลจึงพัฒนาพลังงานทดแทนเป็นวาระแห่งชาติ ซึ่งจะช่วยในเรื่องการส่งออกแล้ว ยังสร้างโอกาสให้ชาวนาในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทยที่มีฐานะยากจน มีรายได้เพิ่มขึ้น และสามารถผลิตพลังงานทางเลือกได้โดยไม่ต้องลงทุนเพิ่ม เพราะไทยมีความสามารถในการผลิตอาหารแล้ว

ส่วนภาคอุตสาหกรรมยานยนต์ สิ่งทอ และอิเล็กทรอนิกส์ ก็มีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ซึ่งที่ผ่านมามีการพัฒนาเชื่อมโยงกันแล้ว ขณะที่ภาคบริการยังขยายตัวไม่มากเมื่อเทียบกับรายได้ประชาชาติ จึงเน้นการขยายตัวด้านบริการให้มากขึ้น เช่น จะมีการส่งเสริมการท่องเที่ยวแบบต่างๆ และเปิดให้มีการลงทุนธุรกิจบริการมากขึ้น

นอกจากนี้จะมีการปรับปรุงแก้ไขกฎระเบียบ การอำนวยความสะดวกด้านต่างๆ เช่น มีจุดบริการเดียว ลดขั้นตอนระเบียบต่างๆ ของทางราชการ โดยเชื่อว่าสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน(บีโอไอ) จะเป็นหน่วยงานที่ให้บริการนักลงทุนได้เป็นอย่างดี

สำหรับความสามารถในการแข่งขันจะต้องมีการพัฒนาแรงงานที่มีคุณภาพ เพื่อรองรับเทคโนโลยีใหม่ๆ และมีการปรับปรุงในเรื่องของธรรมาภิบาล จะต้องมีการเชื่อมโยงภาคเอกชนแต่ละธุรกิจ ซึ่งจะทำให้แก้ปัญหาเรื่องการว่างงานได้ ทำให้นักลงทุนมั่นใจได้ว่าจะไม่มีปัญหาการขาดทักษะของแรงงานไทย

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า รัฐบาลยังให้ความสำคัญกับเรื่องการศึกษา เพราะจะช่วยเรื่องของการเพิ่มความสามารถการแข่งขัน โดยมีนโยบายให้เรียนฟรี เพื่อที่จะทำให้คนไทยมีความรู้มากขึ้น

ส่วนโครงการสาธารณูปโภคขนาดใหญ่ของไทยยังดำเนินการต่อ ไม่ว่าจะเป็น รถไฟฟ้า ระบบน้ำ ระบบขนส่งมวลชน แต่เนื่องจากโครงการเหล่านี้จะให้เวลานานจึงยังไม่ได้ออกมาตรการเร่งด่วนมาดำเนินการในขณะนี้ แต่ รมว.คลัง อยู่ระหว่างการจัดหาและจัดสรรเงินเพื่อเดินหน้าโครงการเหล่านี้

สำหรับการปฏิรูประบบกฎหมาย เพื่อที่จะบริการจัดการด้านต่างๆ ในระยะกลาง และระยะยาว โดยจะทำให้สอดคล้องกับมาตรการฟื้นฟูเศรษฐกิจ ซึ่งในวันพรุ่งนี้(20 ม.ค.)จะมีการสรุปกฎหมายที่เกี่ยวกับงบประมาณที่จะดำเนินการในวันที่ 28 ม.ค. นี้ ซึ่งหากเสร็จเรียบร้อยก็คาดว่าจะสามารถเบิกจ่ายงบประมาณได้ในเดือน มี.ค.-เม.ย.นี้ เมื่อมีการเบิกจ่ายงบประมาณก็จะทำให้มีกำลังซื้อมากขึ้น

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า จะประสานกับธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) เพื่อประสานนโยบายการเงินการคลังให้ดี งบประมาณวันนี้ ใหญ่มากแสนล้านบาท ไม่ละเมิดวินัยการคลัง แต่ช่วยเพิ่มจีดีพีในไตรมาสที่ 1-2-3 และมีแผน 2 กรณีที่เกิดความไม่แน่นอนในไตรมาส 3 และ 4 โดยการกู้เงินต่างประเทศ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ

นอกจากนี้ในเดือน ก.พ.นี้ ตนเองจะเดินทางไปประเทศญี่ปุ่น เพื่อชี้แจงนโยบายและแผนการฟื้นฟูเศรษฐกิจเพื่อช่วยดึงดูดนักลงทุนให้เข้ามาลงทุนในไทย และช่วยผลักดันเศรษฐกิจของไทยให้ฟื้นโดยเร็ว

"ผมอยากให้คนจดจำผมได้ในลักษณะเป็นคนที่เปลี่ยนสถานการณ์ วางพื้นฐานให้กับประเทศมีความสามารถในการแข่งขันมากขึ้น ส่วนทางด้านการเมืองอยากให้คนจำว่าเป็นนักการเมืองที่มีความซื่อสัตย์ยุติธรรม" นายอภิสิทธิ์ กล่าว

ด้าน นางอรรชกา ศรีบุญเรือง บริมเบิล เลขาธิการ บีโอไอ กล่าวว่า การที่นายกรัฐมนตรีได้แสดงวิสัยทัศน์ด้านนโยบายการลงทุนและเศรษฐกิจของประเทศจะช่วยสร้างความมั่นใจให้นักลงทุนต่างชาติ โดยนักลงทุนส่วนใหญ่ได้ประเมินแนวทาง นโยบายการสร้างความเชื่อมั่นในการทำงานของนายกรัฐมนตรีในระดับ A บวก ทั้งในส่วนของการเดินหน้ามาตรการบรรเทาภาวะวิกฤติเศรษฐกิจที่จะช่วยสร้างความมั่นใจได้มากขึ้น และรัฐบาลจะมีนโยบายดูแลกฎระเบียบและสถานการณ์การเมืองในประเทศให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อย

ทั้งนี้ บีโอไอยังยืนยันเป้าหมายตัวเลขขอรับการส่งเสริมการลงทุนในปีนี้ไว้ที่ 6.5 แสนล้านบาท ตามที่ รมว.อุตสาหกรรม กำหนดไว้ โดยเป็นการส่งเสริมการลงทุนตามโครงการ Thailand Investment year แต่ยอมรับว่าปัญหาเศรษฐกิจโลกส่งผลกระทบต่อการลงทุน และการสร้างความมั่นใจให้นักลงทุน คงต้องใช้เวลาต่อเนื่องจากนี้ไป

ขณะที่ นายประมนต์ สุธีวงศ์ ประธานสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวว่า หลังจากรับฟังนโยบายจากนายกรัฐมนตรีแล้ว ทำให้ภาคเอกชน โดยเฉพาะนักลงทุนต่างชาติมีความเชื่อมั่นมากขึ้น เพราะเริ่มเห็นนโยบายที่ต่อเนื่องของรัฐบาล และจะทำให้การลงทุนฟื้นกลับมาโดยเร็ว แต่ต้องขึ้นอยู่กับประเทศของนักลงทุนเหล่านั้นด้วยว่าภาวะเศรษฐกิจในประเทศเหล่านั้นจะฟื้นตัวเร็วแค่ไหน

นอกจากนี้เพื่อเป็นการสร้างความเชื่อมั่นให้มากขึ้นก็จะเชิญนายกรัฐมนตรีมาชี้แจงนโยบายให้กับภาคเอกชน นักธุรกิจ รวมถึงคณะทูตานุทูตของแต่ละประเทศด้วยในการสัมมนาของคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน(กกร.) ในวันที่ 27มกราคมนี้ เพื่อให้คณะทูตนำกลับไปชี้แจงให้กับนักลงทุนในประเทศนั้นๆ

ประธานสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ภาคเอกชนยังเตรียมนำขัอมูลด้านเศรษฐกิจทั้งในระยะสั้น กลาง ยาวเสนอให้กลับรัฐบาล และแนวทางกระตุ้นกลุ่มผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม(เอสเอ็มอี) และจะเร่งให้รับบาลแก้ไข พ.ร.บ.ประกอบธุรกิจคนต่างด้าว และ พ.ร.บ.ค้าปลีก เพื่ออำนวยความสะดวกทางการค้าต่อผู้ประกอบการ

ส่วนนายสันติ วิลาสศักดานนท์ ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย(สอท.) กล่าวว่า เป็นสิ่งที่ดีที่นายกรัฐมนตรีมีการชี้แจงนโยบายให้กับนักลงทุนภาคเอกชนทั้งในและต่างประเทศหลาย ๆ ครั้ง เพราะจะทำให้นักลงทุนมีความมั่นใจในนโยบายของรัฐบาลมากขึ้น โดยเฉพาะนักลงทุนจากประเทศญี่ปุ่นที่เข้ามาลงทุนในไทยเป็นอันดับ 1 ซึ่งไทยเองก็มีความพร้อมในด้านสาธารณูปโภคพื้นฐาน

สำหรับการชี้แจงนโยบายให้กับนักลงทุนภาคเอกชน คณะทูตานุทูต ในการสัมมนาของ กกร.ช่วงปลายเดือนนี้จะมีผลทางจิตใจของนักลงทุน แต่ในทางปฏิบัตินั้นอาจไม่เห็นผลทันทีจะต้องใช้เวลาประมาณ 2-3 เดือน

ส่วนกรณีที่บีโอไอตั้งเป้าจะมียอดขอรับการส่งเสริมการลงทุนในปีนี้ที่ระดับ 6.5 แสนล้านบาทนั้น ประธาน ส.อ.ท.เชื่อว่าจะไม่เป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว ทำให้นักลงทุนชะลอการลงทุน อย่างไรก็ตาม หากปีนี้มียอดการส่งเสริมใกล้เคียงกับปี 51 ที่ระดับกว่า 4 แสนล้านบาท หรือไม่อยู่ในระดับติดลบ ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ดีแล้ว

ประธาน ส.อ.ท.ยังเรียกร้องให้รัฐบาลต้องเร่งดำเนินการต่างๆ ได้แก่ การให้บีโอไอออกไปโรดโชว์ในต่างประเทศให้มากขึ้น โดยเจาะเป็นรายกลุ่มอุตสาหกรรม เช่น กลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ อุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้า และเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตของผู้ประกอบการ ฝึกทักษะแรงงาน


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ