รัฐคาดคนว่างงานปี 53 พุ่ง 1 ล้าน เร่งอัดฉีดงบฝึกอบรม-สร้างความพร้อม

ข่าวทั่วไป Monday February 2, 2009 18:02 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานคณะกรรมการบริหารโครงการเพิ่มศักยภาพผู้ว่างงานเพื่อสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจและสังคมในชุมชน เปิดเผยว่า ที่ประชุมประเมินว่าจะมีผู้ว่างเพิ่มขึ้น 5 แสนราย โดยเป็นผู้ที่ว่างงานปกติอีก 4-5 แสนคน ดังนั้นในปี 53 คาดว่าจะมียอดผู้ว่างงานถึง 1 ล้านรายขึ้นไป

พร้อมกันนี้ ที่ประชุมยังรับทราบการจัดสรรงบประมาณ 120 ล้านบาท เพื่อใช้ฝึกอบรมผู้ว่างงานในระยะแรกเริ่มเป็นกรณีเร่งด่วน และได้กำหนดกลุ่มเป้าหมายโดยเน้นผู้ที่จะกลับภูมิลำเนาก่อน 4 กลุ่ม ประกอบด้วย 1) ผู้ว่างงาน รวมทั้งประชาชนผู้สนใจเข้ารับการฝึกอบรมตามปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง 2) ผู้ที่กำลังอยู่ในข่ายจะถูกเลิกจ้างงานและภาคธุรกิจต้องการให้เพิ่มทักษะโดยมีข้อตกลงให้ทำงานต่อหลังการฝึกอบรม 3) ผู้ถูกเลิกจ้างแรงงานจากภาคอุตสาหกรรม และ 4) ผู้ที่สำเร็จการศึกษาเพื่อให้มีความพร้อมในการเข้าสู่ตลาดแรงงานอย่างมีคุณภาพโดยเน้นผู้ที่กู้ยืมเงินกองทุนก่อนเพื่อช่วยให้มีงานทำจะได้มีเงินใช้หนี้กองทุน

"เราพร้อมที่จะนำความรู้ในส่วนนี้ เพื่อให้กลับสู่ภูมิลำเนา คือถ้าใครตกงานแต่มีความตั้งใจจะเข้ามาทำและพร้อมเราก็จะให้โอกาสในขั้นต้น เบื้องต้นอาจจะประมาณ 3 หมื่นคน เนื่องจากยังไม่มีตัวเลขเด็กที่จะเข้ามาฝึกงานเท่าไร ใครก็ตามที่สนใจและพร้อมที่จะนำความรู้ไปใช้ตามแนวทางเศรษฐกิจพอเพียง เราจะพิจารณาให้โอกาสเป็นอันดับต้นๆ" นายกอร์ปศักดิ์ ระบุ

นายกอร์ปศักดิ์ กล่าวว่า ที่ประชุมยังหารือถึงกรณีที่ภาคธุรกิจเสนอในการประชุมคณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชน(กรอ.) โดยเรียกร้องให้ภาครัฐช่วยจ่ายเงินสมทบให้กับลูกจ้างระหว่างการฝึกงาน ซึ่งที่ประชุมเห็นชอบในหลักการ โดยคณะอนุกรรมการฯ ที่มีนายมีชัย วีระไวทยะ เป็นประธานฯ จะนำไปพิจารณาว่าภาคธุรกิจใดที่มีความจำเป็นที่ต้องการเลิกจ้างพนักงาน แต่ยังไม่อยากที่จะเลิกจ้าง แต่ต้องการความช่วยเหลือจากภาครัฐสักระยะหนึ่ง เพื่อเป็นการขอเวลาตั้งหลัก

"เราจะเชิญภาคธุรกิจเหล่านั้นเข้ามาแสดงความจำนง แต่จะต้องขอมีข้อผูกมัดว่าเราเข้าไปช่วย เช่น ถ้ามีคนงานจะต้องปลดออก 50 คน เราก็บอกว่าท่านจะต้องเป็นคนนำไปเทรนเอง ฝึกให้เขาดีขึ้น แต่เราจะจ่ายเงินสมทบให้ ก็คือลดภาระของเอกชนไปส่วนหนึ่ง โดยมีเงื่อนไขว่าห้ามเลิกจ้างในระยะเวลาหนึ่ง ไม่ให้กำหนดระยะเวลาว่าเลิกจ้างเป็น 2 หรือ 3 ปี เพราะหากเลิกจ้างคนงานคงจะลำบาก ดังนั้นคณะอนุกรรมการจะนำเรื่องนี้ไปพิจารณาเพื่อลดภาระ" นายกอร์ปศักดิ์ กล่าว

ส่วนผู้ที่สำเร็จการศึกษาในปี 53 หากหางานทำไม่ได้แต่อยากจะเข้าโครงการนี้และต้องการกลับไปยังภูมิลำเนา จะได้รับการพิจารณาเป็นอันดับต้นๆ และหากเป็นคนที่เคยกู้เงินในกองทุนกู้ยืมเพื่อการศึกษาก็จะได้รับการพิจารณาอันดับต้นๆ เช่นกัน เพราะถือว่าหากท่านมีงานทำก็จะสามารถส่งรายได้เพื่อใช้หนี้ที่กู้ยืมไว้

นายกอร์ปศักดิ์ กล่าวถึงรายได้หรือเงินเดือนจากการฝึกงานว่า เบื้องต้นคาดว่าจะจ่ายตามค่าแรงขั้นต่ำประมาณเดือนละ 5,000 บาทต่อคน ตามแนวทางระยะเวลาที่จะฝึกตามสาขาวิชา โดยฝึกงานประมาณ 2 สัปดาห์ และสามารถเริ่มงานได้ทันที อย่างไรก็ตามประเด็นนี้อนุกรรมการจะเป็นผู้พิจารณาอีกครั้ง คาดว่าจะมีเงินเดือนเพื่อนำไปตั้งหลักใน 2-4 เดือน แล้วแต่ความเหมาะสม

ขณะที่ในส่วนของการช่วยเหลือโรงงานก็จะใช้หลักคิดเดียวกัน แต่โรงงานจะต้องเป็นผู้ฝึกงานเอง และภาครัฐจะเป็นผู้จ่ายเงินสมทบเพื่อลดภาระให้ส่วนหนึ่ง โดยอาจจะจ่ายเงินเดือนให้เต็มขึ้นอยู่กับว่าโรงงานจะสามารถลดภาระได้เท่าไร และจะได้ในระยะหนึ่ง เนื่องจากขณะนี้เม็ดเงินงบประมาณเพิ่มเติมยังไม่ผ่านสภาฯ ดังนั้นจะดูตัวเลขที่ยอดสูงสุดว่าจะให้เงินช่วยเท่าไรและจะเริ่มโครงการนี้ได้เมื่อใด


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ