เอแบคโพลล์ ระบุว่าชาวบ้านส่วนใหญ่ 75.2% ไม่เห็นด้วยกับการหยุดเดินรถไฟเพื่อประท้วงรัฐบาล เนื่องจากชาวบ้านได้รับความเดือดร้อน และไม่มีทางเลือกอื่นในการเดินทางเพราะไม่มีเงิน นอกจากนี้ยังทำให้เศรษฐกิจแย่ลงไปอีก ขายของไม่ได้ และคนเจ็บป่วยไม่สามารถเดินทางไปหาหมอได้
แต่มีความเห็น 24.8% ระบุว่าเห็นด้วย เพราะไม่ชอบรัฐบาลชุดปัจจุบันนี้ ไม่ต้องการให้ขายสมบัติชาติ เป็นห่วงอนาคตของการรถไฟ และเป็นเรื่องปกติในสังคมประชาธิปไตย
สำนักวิจัยเอแบคโพลล์ ระบุว่าผลสำรวจดังกล่าวมาจากการสำรวจความคิดเห็นประชาชนทั่วประเทศ 1,217 ครัวเรือน เมื่อ 22 มิ.ย.ที่ผ่านมา เรื่องชาวบ้านรู้สึกอย่างไรต่อการหยุดเดินรถไฟและรัฐบาลภายใต้การนำของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี
สำหรับในแง่ของความรู้สึกต่อรัฐบาลและต่อพนักงานการรถไฟฯ จากเหตุการณ์หยุดเดินรถไฟนั้น ประชาชนส่วนใหญ่ 53.8% รู้สึกแย่ ไม่ดีต่อทั้งรัฐบาลและพนักงานการรถไฟ หลังเกิดการหยุดเดินรถ ส่วน 15.3% รู้สึกแย่ต่อรัฐบาล และ 10.8% รู้สึกแย่ต่อพนักงานการรถไฟ ขณะที่ 20.1% ไม่รู้สึกอะไร
และความในใจที่อยากบอกรัฐบาลชุดปัจจุบันว่าด้วยเรื่องการปรับเปลี่ยนการบริหารรัฐวิสาหกิจต่างๆ พบว่า ส่วนใหญ่ 69.6% อยากบอกให้รัฐบาลเร่งแก้ปัญหาทุจริตคอรัปชั่นในแต่ละหน่วยงานดีกว่า หยุดขายสมบัติของประชาชน อยากให้ปรับเปลี่ยนการบริหารของรัฐวิสาหกิจตามแต่รัฐบาลเห็นสมควร
ขณะที่ความรู้สึกสนับสนุนรัฐบาลหลังเกิดเหตุการณ์หยุดเดินรถไฟ ประชาชนส่วนใหญ่ 55.7% กำลังรู้สึกลังเลที่จะสนับสนุนรัฐบาล คือ กำลังคิดอยู่ว่าจะสนับสนุนรัฐบาลต่อไปหรือไม่ ขณะที่ 22.9% ระบุยังคงสนับสนุนรัฐบาล แต่ที่ใกล้เคียงกันคือ 21.4% ไม่สนับสนุนรัฐบาลแล้ว
นายนพดล กรรณิกา ผู้อำนวยการสำนักวิจัยเอแบคโพลล์ มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ เสนอแนะให้รัฐบาลพิจารณาแก้ปัญหาขาดทุนในหน่วยงานรัฐวิสาหกิจต่างๆ ด้วยการว่าจ้างหน่วยงานภายนอกเข้าตรวจสอบปัญหาทุจริตคอรัปชั่น และดำเนินคดีความตามกฎหมายอย่างจริงจัง ส่วนการปรับโครงสร้างบริหารให้ถือว่าเป็นสิ่งใหม่ถ้าจะทำต้องได้รับการยอมรับการเปลี่ยนแปลงจากคนภายในองค์กรเสียก่อน